[การเงิน] สรุปจากงานเคล็ดลับเริ่มต้นลงทุน ฉบับมนุษย์เงินเดือน
เมือวันก่อน @TAXBugnoms ได้เข้าร่วมเสวนากับทาง หมอนัท (คลินิกกองทุน) และคุณตาร์ กวิน (Tar Kawin Suwantragul) ในนามของทีมงาน aommoney.com หัวข้อ “เคล็ดลับเริ่มต้นลงทุน ฉบับมนุษย์เงินเดือน” ที่จัดขึ้นในงานตลาดนัดกองทุนรวม ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 29 ส.ค. ที่ผ่านมานี้ครับ เลยขอนำเคล็ดลับและสรุปจากงานเสวนามาลงบล็อกให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆอ่านกันครับ
ขอบคุณที่มาของบทความ…
คุณสวลี ตันกุลรัตน์ คอลัมน์ Money Tips
ประจำหนังสือพิมพ์โพสท์ทูเดย์ประจำวันที่ 31 สิงหาคม 2557เรียบเรียงใหม่โดย @TAXBugnoms
มีน้อย… ลงทุนน้อยก็ได้
“หมอนัท” บอกว่า กฎข้อแรกในการเป็นมนุษย์เงินเดือนที่จะเดินไปบนเส้นทางความมั่งคั่งได้อย่างต่อเนื่อง คือ เป็นมนุษย์เงินเดือนอย่าใช้เงินเดือนจนหมด ในแต่ละเดือนให้เหลือเงินมาออมสักเดือนละเล็กละน้อย แต่อย่าให้น้อยกว่าเดือนละ 10% ของเงินเดือน จากนั้นก็เอาเงินที่เก็บได้ในแต่ละเดือนโยนไปให้คนเก่งๆ ช่วยบริหารให้งอกเงย นั้นคือ นำเงินไปลงทุนผ่านกองทุนรวม ที่มีผู้จัดการกองทุน ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญคอยดูแล เพื่อให้เรามีเวลาไปทำอย่างอื่น
โดยเราสามารถทำให้การลงทุนง่ายมากขึ้นอีก ด้วยการการใช้อินเตอร์เน็ตเข้ามาช่วยในการโอนเงิน ตัดเงินเดือนผ่านระบบอัตโนมัติ จนทำให้เราไม่จำเป็นต้องเดินไปธนาคารด้วยตัวเอง
คุณรู้หรือไม่ว่า… เพียงแค่นำเงินเดือนละ 5,000 บาท ไปลงทุนในกองทุนรวมที่เลียนแบบดัชนี SET50 (สถิติที่ผ่านมากองทุนนี้ให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 11.82% ต่อปี) เมื่อเวลาผ่านไป 40 ปี เราจะมีเงินไม่มากไม่น้อยแค่ 55.57 ล้านบาท หลังจากนั้นก็นำเงินจำนวนนี้ไปลงทุนต่อ (ความเสี่ยงน้อยหน่อยได้ผลตอบแทน 3.92% ต่อปี) ได้ผลตอบแทนปีละ 2.17 ล้านบาท แบ่งมาใช้ตลอดทั้งปีก็จะมีเงินใช้สบายๆ เดือนละ 181,454 บาท
นอกจากนี้ หมอนัท ยังเคยเขียนเรื่อง “6 ขั้นตอน การสร้าง Passive Income ด้วย Passive Fund” ไว้ในเว็บไซต์ aommoney.com ว่า การลงทุนเป็นประจำเดือนละ 5,000 บาท เป็นเวลา 40 ปี ทำให้เรามีเงินใช้สบายๆ เดือนละเป็นแสนได้ในวัยเกษียณ
มีน้อย… ออมมากไม่เป็นไร
“Tar kawin” เป็น “อดีตมนุษย์เงินเดือน” แต่ทุกวันนี้รายได้ส่วนหนึ่งของเขา คือ เงินปันผลจากการลงทุนหุ้นในช่วงที่ยังเป็นมนุษย์เงินเดือน ถึงจะโชคร้ายที่เริ่มต้นประสบการณ์ลงทุนด้วยวิถีแบบ “แมลงเม่า” และเจอวิกฤติแฮมเบอร์เข้าไปอย่างจัง แต่เขาก็ยังยืนหยดที่จะเดินในเส้นทางความร่ำรวยด้วยการลงทุน
เพียงแค่เขาเปลี่ยนมาศึกษาด้านการลงทุนมากขึ้น จากแมลงเม่าที่เลือกหุ้นจาก “เค้าบอกว่า…” มาเป็นนักลงทุนที่เลือกหุ้นจากพื้นฐานที่ดี และลงทุนอย่างสม่ำเสมอทุกเดือน
เขาบอกว่า… “ใช้เงินเดือนมาลงทุน ทุกเดือนจะแบ่งเงินมาลงทุน 50% ของเงินเดือน โดยตัดเงินลงทุนแบบอัตโนมัติ คนอื่นพอเงินเดือนออกอาจจะตัดออกไปจ่ายบัตรเครดิตก่อน แต่ผมพอเงินเดือนออกก็ตัดออกไปใส่หุ้นก่อนเลย และถ้ามีโบนัสก็เอามาลงทุน พอร์ตก็เลยโตขึ้นเรื่อยๆ”
สำหรับวิธีการเลือกหุ้นของเขาก็เหมือนกับการทำธุรกิจจริง ใช้หลักการบริหาร หลักการตลาดเข้ามาพิจารณา จากนั้นศึกษางบการเงินของบริษัท เพื่อดูว่า เป็นธุรกิจที่ดีจริงหรือไม่ เพราะธุรกิจที่เขาจะลงทุนต้องเป็นธุรกิจที่ยั่งยืน ไม่ใช่แค่ดีในระยะสั้น
เขายังบอกอีกว่า… “การเลือกหุ้นก็ดูง่ายๆ เวลาไปเดินห้างสรรพสินค้าเราจะรู้ว่า อะไรขายดี อะไรขายไม่ดี แต่ก็ต้องใช้เวลาศึกษาสักพัก ตอนตัดสินใจว่าจะซื้อหรือไม่ซื้ออาจจะยากหน่อย แต่เมื่อตัดสินใจซื้อแล้วก็จะซื้อไปเรื่อยๆ
สำหรับมนุษย์เงินเดือนที่อยากจะทดลองลงทุนด้วยตัวเองว่า “ลองเริ่มต้นจากเดือนละ 1,000 บาทก่อนก็ได้ เพราะถ้ามันเสียหายก็เหมือนกับไม่ได้ทานข้าวนอกบ้านสัก 2 มื้อ แต่ถ้าไม่เริ่ม มันก็ไม่รวย”
มีน้อย… ประหยัดภาษีก็ดี
“TaxBugnoms” นอกจากจะเป็นกูรูด้านภาษีแล้ว เขาก็ยังเป็นมนุษย์เงินเดือนที่อยู่บนเส้นทางความมั่งคั่งเช่นเดียวกัน โดยยอมรับว่า เคยผ่านประสบการณ์ “แมลงเม่า” เหมือนกัน
“เป็นแมลงเม่าที่สมบูรณ์แบบ และทุกวันนี้ก็ยังติดอยู่ แต่ไม่ขาย เพราะเก็บเอาไว้เตือนใจตัวเองว่า อย่าซื้ออะไรโง่ๆ อีก” แต่หลังจากขาดทุนจากการลงทุนหุ้นแบบแมลงเม่า TaxBugnoms บอกว่า เขากลับมาทบทวนตัวเองและทำให้รู้ว่า “เดินมาผิดทาง” เพราะการลงทุนหุ้นสำหรับมนุษย์เงินเดือนอย่างเขา “มันเหนื่อย มันลุ้น มันเครียด กินอะไรไม่ลง งานการไม่ทำ ดูแต่หุ้น ไม่มีสมาธิทำงาน”
เขาเลยหันมาลองลงทุนในกองทุนรวมดูบ้าง และทำให้พบว่า “ไม่ต้องดูอะไรมาก ไม่เสียเวลา ซึ่งเทียบกับการเลือกหุ้นเอง ถ้าเลือกหุ้นถูก ลงทุนถูกเวลา ได้ผลตอบแทนที่ดีกว่าแน่นอน แต่ต้นทุนค่าเสียโอกาส คือ เวลา ขณะที่กองทุนมีผู้จัดการกองทุนที่เก่งกว่าเรามาดูแลให้”
นอกจากนี้ เขายังแนะนำวิธีการเพิ่มรายได้ ด้วยการใช้สิทธิลดภาษีให้เต็มที่ โดยการลงทุนในกองทุนที่ให้สิทธิลดหย่อนภาษีก่อน
“ถ้ามีกองทุนสำรองเลี้ยงชีพต้องใช้สิทธิให้เต็มที่ก่อน จากนั้นก็ลงทุนในกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) แล้วจึงลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) สุดท้ายคือซื้อประกันชีวิต แต่คนส่วนใหญ่มักจะเริ่มจาก LTF ก่อนเพราะคิดว่า ไม่กี่ปีก็ขายได้ แต่จริงๆ แล้วเราต้องวางแผนระยะยาวให้ดีเสียก่อน”