มาทำบัญชีธุรกิจส่วนตัวกันนะเธอว์ ตอนที่ 7 : หน้าที่ธุรกิจ (2)
หลังจากในตอนที่แล้ว เราได้รู้จักกับหน้าที่ของธุรกิจ ที่เป็นเรื่องของการจัดทำบัญชีและนำส่งงบการเงินให้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าแล้ว มาถึงตอนที่ 7 นี้ เราจะมารู้จักกับทางฝั่งของ “สรรพากร” กันบ้างครับ
อ๊ะๆๆๆ.. ผมไม่ได้ให้เพื่อนๆ ไปทำความรู้จักกับพี่ๆสรรพากรนะครับ (เดี๋ยวเค้าเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง ไม่รู้ด้วย แหะๆๆ) แต่ว่าตอนนี้ ผมจะแนะนำให้เพื่อนๆรู้จักกับวิธีการนำส่งงบการเงินและแบบแสดงรายการภาษีให้ “กรมสรรพากร”ต่างหากล่ะคร้าบบ (ได้ยินเสียงถอนหายใจโล่งอกกันเป็นแถว อิอิ)
ก่อนที่เราจะเข้าเรื่อง ผมขออนุญาตทบทวนอีกครั้งว่า “งบการเงิน” คือ บทสรุปการบันทึกรายการบัญชีของธุรกิจ ออกมาในรูปแบบของรายงาน (ตามหลักเกณฑ์ที่กำหนด) เพือให้ผู้ใช้งบการเงินเข้าใจภาพรวมของการดำเนินธุรกิจ และสำหรับธุรกิจส่วนตัวนั้น ผู้ใช้งบการเงิน (หรือผู้ที่เกี่ยวข้อง) จะแบ่งออกเป็น 3 กลุ่ม ดังนี้ครับ
1. เจ้าของธุรกิจ
2. กรมพัฒนาธุรกิจการค้า
3. สรรพากร
เริ่มต้นด้วย “เจ้าของธุรกิจ” ย่อมมีความต้องการใช้ “งบการเงิน” เพื่อวิเคราะห์ฐานะการเงินและผลการดำเนินงานที่ผ่านมาของธุรกิจ อีกทั้งยังมีการใช้ข้อมูลในการวางแผนการดำเนินการของธุรกิจในอนาคตด้วย (บทความ “ตอนที 3” : งบการเงิน )
ส่วน “กรมพัฒนาธุรกิจการค้า” และ “สรรพากร” นั้น อาจจะไม่ได้ต้องการงบการเงินของเราไปเพื่อวิเคราะห์ แต่ว่ากฎหมายได้กำหนดให้ธุรกิจมีหน้าที่ต้องนำส่งงบการเงินเพื่อแจ้ง ฐานะการเงิน ผลการดำเนินการ และสถานะของธุรกิจ ว่ายังมีความสุขดีหรือเปล่า รวมถึงสิ่งที่สำคัญที่สุด คือการ ชำระ “ภาษี” ให้กับภาครัฐนั่นเองครับ (บทความ “ตอนที 6” : หน้าที่ธุรกิจ )
เอาล่ะครับ เมื่อทบทวนเนื้อหาคร่าวๆไปแล้ว คราวนี้ก็มาเข้าเรื่องกันสักที …
– เจ้าของธุรกิจต้องนำส่งอะไรให้สรรพากร –
คำถามนี้เป็นคำถามที่จะว่าง่ายก็ง่าย จะว่ายากก็ยากใช่ไหมครับ แต่ผมเชื่อเลยว่าความรู้สึกแว๊บแรกของคนส่วนมาก เมื่อพูดถึง “สรรพากร” ต้องนึกถึง “ภาษี” หรือไม่ก็ประมาณว่า “เสียเงินอีกแล้วตรู” ใช่ไหมครับ (เพราะว่าผมเองก็เป็นเหมือนกันครับ ^^)
คำตอบที่บอกว่า “เงินภาษี” ที่ถูกสรรพากรเรียกเก็บ หรือเราต้องใส่พานไปนำส่งนั้น ก็เป็นคำตอบที่ถูกต้องแค่ครึ่งหนึ่งครับ เพราะว่ายังมีอีกอย่างที่เจ้าของธุรกิจต้องนำส่ง ก็คือ “แบบแสดงรายการภาษี” นั่นเอง แม้ว่าธุรกิจนั้นจะต้องเสียภาษีหรือไม่ก็ตาม
ซึ่งเจ้าแบบแสดงรายการที่ว่านี้ ทางสรรพากรจะแบ่งแยกออกตามประเภทของภาษี เพื่อให้สะดวกต่อการกรอกและการจัดเก็บ และธุรกิจก็มีหน้าที่ที่จะต้องรู้และกรอกให้ถูกต้อง โดยผมได้แบ่งประเภทของแบบแสดงรายการตามสไตล์ของ “บล็อกภาษีข้างถนน” ออกเป็น 2 กลุ่ม คือ
1. แบบแสดงรายการที่เกี่ยวข้องกับ “งบการเงิน” และ “กำไรสุทธิ” ของธุรกิจ
2. แบบแสดงรายการที่เกี่ยวข้องกับ “การดำเนินงาน” ของธุรกิจ
– แบบแสดงรายการ “งบการเงิน” และ “กำไรสุทธิ” –
1. แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล (ภ.ง.ด. 50)
เรามาเริ่มต้นกันกับ “แบบแสดงรายการ” ที่เกี่ยวข้องกับ “งบการเงิน” และ “กำไรสุทธิ” ตัวแรกที่ชื่อว่า “ภ.ง.ด.50” หรือ “แบบแสดงรายภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล” กันเลยครับ
(คลิกเพื่อดู “แบบแสดงรายการ” ฉบับเต็ม)
โดยแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลในภาพ เป็นแบบแสดงรายการสำหรับรอบบัญชีปี 2554 ซึ่งมาตรา 68 แห่งประมวลรัษฎากรได้กำหนดให้ธุรกิจที่อยู่ในรูปแบบ “นิติบุคคล” ยื่นแบบแสดงรายการพร้อมชำระภาษี (ถ้ามี) ภายใน 150 วันนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชี
และเมื่อพูดถึง 150 วันแล้ว ก็มีข้อสังเกตที่น่าสนใจที่ว่า คำว่า “150 วัน” ตามประมวลรัษฎากร เมื่อฟังเผินๆ คิดเพลินๆ น่าจะตรงกับวันที่กฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่กำหนด คือ ให้นิติบุคคลนำส่งงบการเงินภายใน 5 เดือนนับตั้งแต่วันปิดบัญชี (ห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล) หรือ ภายใน 1 เดือนหลังจากวันประชุมผู้ถือหุ้น (บริษัทจำกัด) ใช่ไหมล่ะครับ (ถ้าถึงตรงนี้แล้ว ใครยังงงงอยู่ แนะนำให้กลับไปอ่าน “ตอนที่ 6” อีกสักครั้งนะครับ ^^)
แต่จริงๆแล้ว “มันไม่ใช่อ่ะกิ๊ฟ” เพราะว่า 150 วัน “ไม่ใช่” 5 เดือนอย่างแน่นอนครับ
เรามาลองบวกวันกันดูเลยดีกว่า (กำหนดให้เดือนกุมภาพันธ์ มี 28 วัน)
ก็จะเป็น มกราคม (31) + กุมภาพันธ์ (28) + มีนาคม (31) + เมษายน (30) = 120 วัน
ดังนั้น “150 วัน” ตามประมวลรัษฎากร ควรจะหมายถึงวันที่ 30 พฤษภาคม ของทุกปี (ที่เดือนกุมภาพันธ์มี 28 วัน) แต่ตามกฎหมายแพ่งและพาณิชย์จะเป็นวันที่ 31 พฤษภาคม ของทุกปีแทน เนื่องจากเป็นวันครบกำหนด 5 เดือน
ขอแนะนำเลยนะครับว่า ควรจะระวังความแตกต่าง “1 วัน” ที่ว่านี้ให้ดีนะครับ เพราะมีคนต้องเสียค่าปรับมาแล้วหลายคนเลยล่ะคร้าบบบ …
2. แบบแสดงรายการภาษีเงินได้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล (ภ.ง.ด. 51) ตามมาตรา 67 ทวิแห่งประมวลรัษฎากร
(คลิกเพื่อดู “แบบแสดงรายการ” ฉบับเต็ม)
สำหรับแบบแสดงรายการภาษีเงินได้นิติบุคคลในภาพ เป็นแบบแสดงรายการสำหรับรอบบัญชีปี 2555 (ครึ่งปี) นั้นจะเป็นไปตามมาตรา 67 ทวิ ดังนี้ครับ
มาตรา 67 ทวิ เพื่อประโยชน์ในการจัดเก็บภาษีก่อนถึงกำหนดเวลาตามมาตรา 68 ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลยื่นรายการตามแบบที่อธิบดีกำหนดพร้อมกับชำระภาษีต่ออำเภอ ณ ที่ว่าการอำเภอท้องที่ ภายในสองเดือนนับแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาหกเดือนนับแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชี ดังนี้
(1) ในกรณีบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนอกจากที่กล่าวใน (2) ให้จัดทำประมาณการกำไรสุทธิหรือขาดทุนสุทธิ ซึ่งได้จากกิจการหรือเนื่องจากกิจการที่ได้กระทำ หรือจะได้กระทำในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น แล้วให้คำนวณและชำระภาษีจากจำนวนกึ่งหนึ่งของประมาณการกำไรสุทธิในรอบระยะเวลาบัญชีนั้น
(2) ในกรณีบริษัทจดทะเบียน ธนาคารพาณิชย์ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ หรือบริษัทเงินทุน บริษัทหลักทรัพย์ หรือบริษัทเครดิตฟองซิเอร์ตามกฎหมายว่าด้วยการประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ หรือบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกำหนด ให้คำนวณและชำระภาษีจากกำไรสุทธิของรอบระยะเวลาหกเดือนนับแต่วันแรกของรอบระยะเวลาบัญชี ตามเงื่อนไขที่ระบุไว้ในมาตรา 65 ทวิ และมาตรา 65 ตรี
จากข้อกฎหมายข้างต้น ทำให้เราทราบว่าเจ้าแบบ ภ.ง.ด.51 นี้ เป็นแบบแสดงรายการที่กำหนดให้ “นิติบุคคล” มีหน้าที่ชำระภาษี “ครึ่งปี” โดยต้องชำระภายใน 2 เดือนนับตั้งแต่วันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีหกเดือน เอ๊ะ ยังไง…
ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆให้ฟังละกันครับ สมมุติธุรกิจของเรามีรอบบัญชีปกติคือ 1 มกราคม – 31 ธันวาคม ดังนั้น ครึ่งรอบบัญชีก็จะสิ้นสุด ณ วันที่ 30 มิถุนายน ( 6 เดือนพอดี ) แปลว่าเราจะต้องยื่นแบบแสดงรายการภายในสองเดือน ก็คือ 31 สิงหาคม นั่นเองคร้าบบ
โดยภาษีที่เราชำระตามแบบ ภ.ง.ด. 51 นี้เองจะสามารถนำไปเครดิต หรือ หักออก จากภาษีปลายปีที่ต้องเสียตามแบบ ภ.ง.ด. 50 ในข้อ 1 นั่นเองคร้าบบบ สำหรับในส่วนของวิธีการคำนวณภาษีเงินได้ครึ่งปีนั้น ผมขอยกยอดไปพูดในโอกาสหน้าละกันครับ ^^
สรุปได้ว่า ในส่วนที่เป็นผลการดำเนินงานของธุรกิจนั้น จะต้อง ยื่นแบบแสดงรายการภาษีเงินได้ อยู่ 2 ประเภทก็คือ ภาษีครึ่งปี (ภงด. 51) และ ภาษีสิ้นปี (ภงด. 50) นั่นเองครับ
สำหรับในตอนต่อไปเราจะมาดูกันต่อในเรื่องของ แบบแสดงรายการที่เกี่ยวข้องกับ “การดำเนินงาน” ของธุรกิจ กันบ้างครับว่ามีอะไรบ้าง และเจ้าของธุรกิจมีหน้าที่อะไรที่ควรรู้อีกล่ะ ยังไงก็คงต้องฝากติดตามกันไปเรื่อยๆนะครับ และก็อย่าลืมส่งต่อบทความนี้ให้เพื่อนๆ หรือจะกด Like เพื่อเป็นกำลังใจให้กับผู้เขียน (ตาดำๆ) ก็ไม่ว่ากันคร้าบบบ
:D