fbpx

เงินน้อยก็รวยได้ ตอนที่ 5 : เงินตรูอยู่ไหน!!!


หลังจากที่เขียน ตอนที่ 4 จบลงไปได้ไม่นาน มีเพื่อนๆหลายคนหลังไมค์มาบอกให้เขียนตอนต่อไปไวๆหน่อย เพราะอยากรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นยังไงต่อไป (ยังกับลุ้นละครกันเลย อิอิ) บางคนก็หลังไมค์มาเล่าประสบการณ์ตัวเองให้ฟังว่ากำลังเจอสถานการณ์เดียวกันเลย (คนหัวอกเดียวกัน ย่อมเข้าใจกันดีใช่ไหมฮะ TwT)

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณหลายๆคนที่คอยติดตามบทความ “เงินน้อยก็รวยได้” มาอย่างต่อเนื่อง และคอยให้กำลังใจมาโดยตลอด แถมยังช่วยกระตุ้นให้คนขี้เกียจอย่างผมรีบเขียนตอนใหม่ไวๆ ต้องขอขอบคุณมิตรรักแฟนเพจทุกท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

ว่าแล้ว… มาติดตามต่อกันเลยดีกว่าคร้าบบ ^^

 – คำบางคำกับคนบางคน –

ขออนุญาตเท้าความไปตอนที่แล้วสักนิดนึง หลังจากที่ผมเพิ่งออกจากงานมาใหม่ๆ และอยู่ในช่วงรอเข้าบรรจุเพื่อเป็น “ข้าราชการ” ก็มีโอกาสได้พบเจอกับผู้ใหญ่หลายๆท่าน รวมถึงแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับเพื่อนๆอีกหลายคน ซึ่งส่วนใหญ่มักจะพูดด้วยความประหลาดใจว่า “คิดยังไงถึงลาออก” “เฮ้ย เมริงจะบ้าหรือไง” หรือไม่ก็ทำนองว่า “เสียดายอนาคตเหมือนกันนะ ทำงานเงินเดือนขนาดนี้แล้วต้องกลับไปเป็นข้าราชการหาเช้ากินค่ำ”

ได้ยินได้ฟังมาแบบนั้น ก็ทำให้ผมรู้สึกเป็นกังวลอย่างที่หลายๆคนว่ามาเหมือนกันครับ บางวันถึงขั้นนอนไม่หลับ พลิกตัวไปมาและเฝ้าถามตัวเองในใจว่า “จะทำได้ไหม ทำได้หรือเปล่า จะทำได้ไหม ทำได้หรือปล่าววววว” (แกเป็นแกงค์สามช่าหรือไง – -“) แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมเจ็บปวดที่สุดก็คือ “คำพูดบางคำ” ของ “คนบางคน” เช่น

– เฮ้ย ไม่เป็นไรหรอก บ้าน (เมริง) รวยอยู่แล้ว ยังไงก็ขอเงินพ่อแม่ได้
– อันนี้พ่อแม่จ้างให้ออกมาทำงานง่ายๆ จะได้อยู่บ้านเฉยๆหรือเปล่าจ๊ะ
– ทำงานแบบนี้แล้วจะมีอนาคตเหรอ??
– ใช้สมองตรงไหนคิดเนี่ย??

บอกตรงๆว่า แว็บแรกที่ได้ยินคำพูดเหล่านี้ ทำให้ผมรู้สึกแย่มากๆ แต่ก็ไม่ได้โกรธอะไรนะครับ พอมาถึงวันนี้นึกย้อนกลับไปทีไร ผมกลับรู้สึกขอบคุณเสียด้วยซ้ำ เพราะว่าคำพูดพวกนั้นถือเป็นส่วนหนึ่งของแรงบันดาลใจที่ทำให้ผมมีชีวิตอย่างทุกวันนี้ (แฮ่ม เข้าสู่โหมดพระเอ้ก พระเอก…)

ไหนๆก็พูดถึงเรื่องนี้แล้ว ขอเล่าให้ฟังอีกสักเรื่องละกันครับว่า มีอยู่สิ่งหนึ่งที่ผมคิดและย้ำกับตัวเองเสมอตั้งแต่ตัดสินใจลาออกจากงานมาเป็นข้าราชการก็คือ

… “ต่อให้จะต้องตายยังไง (กรู) จะไม่ขอเงินที่บ้านอีก” …

(กรุณาท่าประกอบ เบะปากพร้อมกับชี้นิ้วไปข้างหน้าด้วยอารมณ์โดดเดี่ยว)

ในเมื่อเราไม่สามารถเลี้ยงดูและช่วยเหลือครอบครัวได้แล้ว กรุณาอย่าสร้างภาระเพิ่มให้กับพ่อและแม่อีกเลยจะดีกว่า อายุอานามก็ขนาดนี้แล้ว ยังต้องเกาะพ่อแม่กินอีก ถ้าใครรู้คงโดนล้อแย่เบยยยย ^^

เอาเข้าจริงๆ ผมก็ไม่รู้หรอกครับว่า คนอื่นๆจะคิดยังไงกับความคิดของผม บางคนอาจจะมองว่าเป็นความคิดที่ถูกต้อง แต่ถ้ามองกลับกันก็อาจจะเป็นความคิดที่ไร้สาระ หยิ่งเวอร์ๆ หรือไอ้นี่มันเยอะเหลือเกินกับชีวิต แต่ตอนนั้นผมมีความรู้สึกแบบนั้นจริงๆ และความรู้สึกแบบนั้นแหละที่ทำให้ต้องใช้ความพยายามในการจัดการด้านการเงินเพื่อเอาตัวรอดมาจนถึงทุกวันนี้…

เอาล่ะ!! พูดไปซะยาว เดี๋ยวจะพาลหมั่นไส้ผมเปล่าๆ เรากลับมาคุยกันต่อที่เรื่องการวางแผนการเงินของผมกันต่อดีกว่า…

เมื่อรายได้ “ลด” ค่าใช้จ่ายก็ (ต้อง) “ลด”

คำพูดที่หลายๆคนบอกว่า “เช้าชามเย็นชาม เลิกงานเป็นเวลา” ถือเป็นสโลแกนหลักของงานข้าราชการที่ใครก็ไม่กล้าปฎิเสธ และการที่ได้ “เลิกงานเป็นเวลา” นี่แหละที่ผมคิดว่าเป็นสิ่งสำคัญในการจัดการบริหารชีวิต เมื่อเปรียบเทียบกับงานสอบบัญชีที่เลิกงานดึก ไม่มีเวลากลับที่แน่นอน กว่าจะได้นอนหลับก็หลังเที่ยงคืนทุกวัน (มาเป็นกลอนเลย ^^) ดังนั้น การทำงานที่ได้เลิกเป็นเวลาย่อมจะสบายกว่าแน่นอนครับ อย่างน้อยก็ได้เห็นพระอาทิตย์ตกดินทุกวันล่ะ (ฟระ)

ในทางเดียวกันสัจธรรมในการใช้ชีวิตก็บอกเราว่า “โลกนี้ไม่มีอะไรฟรี” ดังนั้น งานที่สบายกว่าก็ควรที่จะได้เงินเดือนที่น้อยกว่า อย่างที่่เค้าว่ากันไว้ว่า ผลตอบแทนที่ยิ่งใหญ่มักจะตามมาด้วยหน้าที่ของความรับผิดชอบที่ใหญ่ยิ่ง!!! (แกเป็น Spiderman หรือยังง้ายยย – -“)

หลังจากที่ผมรู้ตัวว่า รายได้ (เงินเดือน) ลดลง ประกอบกับตัวเองกำลังมีปณิธาณอันแสนจะยิ่งใหญ่ (คิดเอาเอง) คือ “จะไม่ขอเงินที่บ้านอีกเด็ดขาด” ดังนั้น สิ่งแรกที่ต้องรีบทำ คือการ “ลดรายจ่าย” ให้ได้มากที่สุด

เพื่อให้เพื่อนๆเห็นภาพที่ชัดเจน ผมได้ทำตารางสรุปคร่าวๆมาให้ดูเป็นแนวทางครับ คิดว่าน่าจะใกล้เคียงกับความเป็นจริงในช่วงนั้นที่สุดว่ามีรายได้และค่าใช้จ่ายเป็นอย่างไรบ้าง

ตารางรายได้รายจ่าย

จากตารางข้างบน ขออธิบายการใช้จ่ายของผมเป็นข้อๆดังนี้ (อารมณ์เหมือนบทความวิชาการเลยนะเนี่ย อิอิ)

กินข้าว (ใน) บ้าน : วิธีการประหยัดรายจ่ายได้ดีอีกทางหนึ่ง เนื่องจากที่บ้านมีอาหาร (เหลือ) อยู่แล้ว อาหารเช้าในวันนี้คืออาหารเย็นของเมื่อวาน ส่วนอาหารเย็นของวันนี้ก็คืออาหารใหม่ ทำให้ลดรายจ่ายค่าอาหารนอกบ้านไปได้ ซึ่งข้อดีก็คือ การประหยัดทั้งเงิน แถมยังมีเวลาให้ครอบครัวด้วย

อาหารเที่ยง : เป็นความโชคดีที่รอบๆที่ทำงาน (ใหม่) มีค่าครองชีพในการใช้ชีวิตต่ำกว่าย่านออฟฟิศ ไม่มีกาแฟ Starbuck โอปองแปง หรือแม้แต่ชานมไข่มุก รวมถึงค่าอาหารกลางวันก็ถูกกว่า ทำให้ผมสามารถลดค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ได้ค่อนข้างเยอะ เหลือเพียงมื้อละไม่เกิน 50 บาท/วัน

– ค่าใช้จ่ายในการเดินทาง : เนื่องจากที่ทำงานใกล้บ้านมากกว่าที่ทำงานเดิม แถมหลังจากเลิกงานก็เก็บกระเป๋าบึ่งรถกลับบ้านทันที (เพราะจะรีบกลับไปให้ทันกินข้าวเย็นบ้าน – -“) ไม่มีการแวะนอกลู่นอกทาง ดังนั้นค่าใช้จ่ายส่วนนี้ก็ลดลงบ้าง แต่ยังไม่มากเท่าไรนัก

ลดขนมจุกจิก และค่าใช้จ่ายจิปาถะ : ขนมจุกจิกที่ชอบกินสมัยทำงานเอกชน ผมตัดสินหักดิบโดยเลิกกินทันที (อารมณ์เหมือนเลิกยา) แต่ความเป็นจริงก็ยังหักดิบไม่ได้ 100% เราจึงต้องให้รางวัลตัวเองซะหน่อย เมื่อมีเงินเหลือในบางครั้งบางคราว และที่สำคัญการลดอาหารจุกจิกพวกนี้ทำให้มีสุขภาพที่ดีขึ้นด้วยครับ

– เงินออมต้องไม่ขาด ผมยังคงวางแผนใช้หลักการออมเงินแบบ “ลบสิบ” อยู่ แม้ว่าจะมีเงินเดือนน้อยก็ตาม ซึ่งประสบการณ์ที่ผ่านมาได้สอนให้ผมไม่ประมาทในการใช้เงิน ถึงแม้จะมีรายได้น้อยแค่ไหนก็ตาม เราไม่ควรจะขาดข้อนี้นะครับ (ถ้าสามารถทำได้)

สำหรับเงินส่วนที่เหลือนั้น จะเป็นเงินที่นำไปใช้จ่ายในชีวิตประจำทั่วๆไปครับ เช่น ซื้อของใช้ เสื้อผ้า กินข้าวนอกบ้านกับเพื่อนบ้าง ปาร์ตี้สังสรรค์บ้าง ฯลฯ เล็กๆน้อยๆ ตามประสาครับ เพราะชีวิตจริงของคนเราคงไม่สามารถขาดเรื่องพวกนี้ได้ เพียงแต่ว่า ต้องคอยมี “สติ” มา “จำกัด” กิเลสพวกนี้ให้น้อยลง เท่านั้นเองครับ

นอกจากการ “ลดรายจ่าย” แล้ว เครื่องมือที่สำคัญที่สุดในการบริหารจัดการเงินของผม คือ การจดบันทึกรายรับรายจ่าย เพื่อให้รู้การใช้เงินของตัวเองอย่างสม่ำเสมอ โดยผมใช้โปรแกรมที่ชื่อว่า GNUCASH ในการบันทึกบัญชีรายได้รายจ่ายของตัวเองอย่างสม่ำเสมอทุกๆวัน (ที่สำคัญโปรแกรมนี้มีให้ใช้งานฟรี!!!)

GNU

– การบันทึกรายรับรายจ่าย –

การบันทึกรายรับรายจ่ายนั้น มีจุดเริ่มต้นจากความสงสัยของผมว่า “เงินที่ได้ในแต่ละเดือน (ตรู) หายไปไหนหมด (ฟระ)” ดังนั้นยุทธวิธีในการตามล่าหาเงินที่หายไปของผม ก็คือการบันทึกรายรับและรายจ่ายนี่แหละครับ จะบอกเราได้ว่า “เงินกรูอยู่ไหน!!!”

นอกจากนั้นแล้ว การบันทึกรายรับรายจ่ายจะเป็นเหมือนภาพสะท้อนให้เห็นว่า ตัวเรามีความสามารถในการบริหารจัดการเงินในระดับไหน ถ้าหากเราสามารถใช้จ่ายน้อยกว่าเงินที่หามาได้ ก็ถือว่าเรามีความสามารถในการบริหารจัดการเงินที่ค่อนข้างดีนั่นเองครับ

สำหรับเรื่องการบันทึกรายรับรายจ่าย รวมถึงโปรแกรมการบันทึกรายรับรายจ่ายนั้น ถ้ามีโอกาสผมจะอธิบายและเขียนบทความให้อ่านเพิ่มเติมละกันครับ

– อยากกลับไปมีเงินออม (เหมือนเดิม) –

หลังจากที่ทำงานราชการมาได้สักพักหนึ่ง เริ่มจะปรับตัวกับสังคมใหม่ๆ และกำลังอยู่ในช่วงประหยัดมัธยัสถ์อย่างที่สุด ผมเริ่มคิดหาทางที่จะทำยังไงให้ตัวเองมีเงินออมเพิ่มขึ้นได้บ้าง จากเดิมที่เคยออมได้เดือนละ 5,000 บาท ตอนนี้เหลือแค่เดือนละ 1,000 บาท และถ้าอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าเกิดมีเรื่องที่ต้องใช้จ่ายเงินขึ้นมา อย่าว่าแต่เงินออมจะไม่มีเพิ่ม แต่ยังไม่รู้ว่าจะต้องถอนเงินเก็บมาใช้หรือเปล่าน่ะเซ่!!!

อยู่มาวันหนึ่ง ระหว่างที่ผมกำลังลงบัญชีรายรับ-รายจ่ายประจำวัน ทันใดนั้นเอง จิ้งจกก็ร้องทัก ทำให้ผมเหลือบไปเห็นสมการการออมที่ผมแปะไว้ที่ข้างฝาบ้าน (อ่านถึงตรงนี้หลายๆ คนอาจจะคิดว่าผมบ้าหรือเปล่านะ แกเล่นแปะสมการไว้ที่บ้านเลยเรอะ – -“) หลังจากที่จับจิ้งจกเสร็จแล้ว ก็เลยลองนั่งมองเจ้าสมการดีๆ พบว่า จริงๆ แล้วมันมีอยู่แค่สองตัวแปรที่เราเอามาใช้ในการออมนี่นา!!!

รายได้ - เงินออม

รายได้ – เงินออม = ค่าใช้จ่าย

เมื่อ รายได้ หักลบออกด้วยเงินออม สิ่งที่เหลือคือ ค่าใช้จ่าย ที่เรามีไว้ใช้ แต่ทีนี้ถ้าเราต้องการให้ “เงินออม” ของเรามากขึ้น เราก็ทำการย้ายข้างสมการโดยใช้ความรู้สมัยมัธยมต้นดู รูปแบบสมการก็จะเปลี่ยนเป็น

“เงินออม = รายได้ – ค่าใช้จ่าย”

ถ้าหากเราอยากจะเพิ่มเงินออม เราก็ต้องมาดูที่สองตัวแปรคือ ”รายได้” และ ”ค่าใช้จ่าย” ซึ่งหมายความว่า เราต้องหาหนทางที่จะ”เพิ่มรายได้” ให้มากขึ้น หรือว่า “ลดรายจ่าย” ให้น้อยลง เพื่อที่เราจะได้มีเงินออมมากขึ้น ใช่ไหมละล่ะครับ ในเมื่อลดรายจ่ายกันไปแล้ว ทีนี้ก็ถึงคราวที่จะต้องเพิ่มรายได้น่ะสิ!!!!

– เพิ่มรายได้!!! –

ทีนี้ถ้าอยากมีเงินออมเพิ่ม เราจะต้องหาทางเพิ่มรายได้ให้ได้ ว่าแต่จะเพิ่มยังไงดีล่ะเนี่ย หลังจากนั้นผมเลยถือโอกาสนั่งวิเคราะห์ตัวเอง จนได้ข้อสรุปมาสองข้อคือ

1. เพิ่มรายได้จากกิจการของครอบครัว

ข้อแรกนี้ ผมตัดทิ้งโดยไม่ต้องลังเลครับ เพราะขัดกับปณิธานอันยิ่งใหญ่ของผมที่ว่า “จะไม่ขอเงินและสร้างภาระให้กับพ่อแม่” ซึ่งปกติแล้ว ผมก็ช่วยงานที่บ้านอย่างสม่ำเสมอมาตั้งแต่เด็กๆ และที่บ้านก็ไม่เคยให้เงินจากการช่วยงานพิเศษ ส่วนผมก็ไม่เคยขอเงินค่าทำงานพวกนี้

อยู่ดีๆจะมาขอแบ่งเงินจากส่วนนี้อย่างหน้าด้านๆ โดยอ้างว่าช่วยงานแล้วขอเงิน ผมมองว่ามันไม่แฟร์ครับ ไม่แฟร์อย่างมากเลย แค่ทุกวันนี้มีข้าวกินฟรี ค่าน้ำค่าไฟไม่ต้องจ่าย ผมว่าก็เป็นอะไรที่รบกวนที่บ้านมากพอแล้วครับ ดังนั้น การอาสาทำงานเพื่อแลกเงินแบบนี้ ไม่ใช่นโยบายของผมครับ (ฮา)

2. หาหนทางเพิ่มรายได้จากรายได้เสริม

ถ้าไม่คิดหารายได้จากที่บ้าน เราก็ต้องหารายได้ด้วยตัวเอง ว่าแต่จะทำอะไรดีล่ะ??? ถ้าอยากออกบินหาอาหารด้วยตัวเอง ก็ต้องมาสำรวจตัวเองก่อนว่า ชอบอะไรกับเรามีความสามารถอะไรบ้าง ใช่ไหมล่ะครับ สำหรับเพื่อนๆอ่านมาถึงนี้แล้ว สนใจจะหารายได้เสริมให้กับตัวเอง ผมมีข้อแนะนำดังนี้ครับ

เริ่มต้นง่ายๆ โดยการค้นหาตัวเองว่า นอกจากงานประจำที่ทำอยู่ในทุกๆ วันแล้ว เรามีพรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษอะไรบ้าง ที่เรารักและยินดีที่จะทำมันเพื่อใช้ประกอบอาชีพเสริมได้ ยกตัวอย่าง เช่น

– คนที่มีความสามารถในการทำอาหาร อาจจะเริ่มจากทำอาหารขายเล็กๆ น้อย เช่น พวก ขนมต่างๆ หรือ อาหารกล่อง
– คนที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญทางด้านวิชาการต่างๆ หรือมีความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ก็อาจจะรับสอนพิเศษให้กับเด็กๆ หรือหางานนอกเสริมจากงานหลักที่ทำอยู่ เช่น พนักงานบัญชี ก็อาจจะรับทำบัญชีอิสระเป็นอาชีพเสริม ก็ดีนะครับ
– คนที่มีความสามารถในการค้าขาย และหาแหล่งซื้อสินค้าได้ในราคาถูก อาจจะรับสินค้าต่างๆ มาขาย เช่น เสื้อผ้า เครื่องประดับ และหาเวลาในวันหยุดไปขายของในตลาดนัดต่างๆ
– คนที่มีความสามารถเกี่ยวกับด้านเทคโนโลยี ก็อาจจะผันตัวเองทำเว็บไซต์เวปไซด์ ขายของทางอินเตอร์เน็ต อินเทอร์เน็ต ทั้งในประเทศและต่างประเทศ หรือหันไปศึกษาพวก Internet marketing, ขายของออนไลน์ ก็ดูน่าสนุกใช่ไหมครับ
– คนที่อาจจะมีความสามารถในการขีดๆ เขียนๆ ก็หาเวลาเขียนหนังสือ ส่งเรื่องไปสำนักพิมพ์ ถ้าโชคดีได้ตีพิมพ์ ก็ถือว่ามีโอกาสที่จะได้รายได้เสริมเช่นกันครับ

ลองเริ่มต้นถามตัวเองดูสิครับว่า…
คุณมีความสามารถอะไรเพื่อที่จะใช้หารายได้เสริมให้กับคุณ
อะไรคือความสุข และความสนุกที่ทำแล้วไม่เบื่อ
แถมยังสร้างโอกาส ในการเพิ่มรายได้ให้แก่ตัวคุณ

แต่สำหรับคนที่มีความคิดว่า ตอนนี้เราก็มีงานประจำที่รัดตัว แล้วจะเอาเวลาที่ไหนปลีกตัวมาหารายได้เพิ่มเติมได้ เพราะทำงานทุกวัน ตั้งแต่วันจันทร์ ถึง วันศุกร์ กว่าจะกลับบ้านก็แทบจะหมดเวลาแล้ว ยังจะมีเวลาทำอะไรได้อีกเหรอ

เอาจริงๆนะครับ จากประสบการณ์ของผม ผมเชื่อว่า อย่างน้อยทุกคนต้องมีเวลาว่างครับ แต่จะมีน้อยหรือมากอยู่ที่การ “จัดสรรเวลา” ในแต่ละวันของคุณครับ ไม่ว่าจะเป็นเวลาในช่วงวันหยุดเสาร์ – อาทิตย์ หรือในช่วงเช้าก่อนเข้างาน หรือ ช่วงเย็นก่อนที่คุณกำลังดูละครก่อนเข้านอน

หรือไม่อย่างนั้น คุณอาจจะเริ่มต้นง่ายๆ ด้วยการจัดสรรเวลาว่างเล็กๆน้อยๆ ของตัวเองในแต่ละวันออกมา แล้วลองทบทวนดูว่า ตัวเองสามารถแบ่งเวลาไปทำอะไรได้บ้างครับ ซึ่งอาจจะทำให้ค้นหาตัวเองเจอโดยที่ไม่รู้ตัวก็ได้นะครับ

– เปลี่ยนมุมคิด ชีวิตก็เปลี่ยน –

คนเราทุกๆ คนมีเวลา 24 ชั่วโมง เท่ากัน ไม่ว่าจะเป็นยาจก มหาเศรษฐี ถ้าเราสามารถแบ่งและบริหารจัดการเวลามาเพื่อหารายได้เสริมเพิ่มได้บ้างแล้วล่ะก็ มันก็ย่อมจะดีกว่านั่งยอมรับความลำบาก และบ่นโทษนู่นนี่นั่นไปวันๆ ใช่ไหมล่ะครับ (ฮา)

เริ่มต้นจากการเปลี่ยนความคิดทัศนคติในแง่ลบของเราก่อนว่า “เราไม่มีเวลาที่จะทำอะไร” เปลี่ยนมาเป็น “เราจะแบ่งเวลาที่มีอยู่ไปทำอะไรดี” เริ่มต้นจากความคิดแบบนี้ก็นับว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้วครับ มีคำพูดอยู่คำนึงที่ผมชอบมากและจดไว้อ่านเสมอก็คือ

“คนที่จะประสบความสำเร็จนั้น มักใช้เวลาน้อยกว่า แต่สร้างความร่ำรวยได้มากกว่า”

ดังนั้น ถ้าเพื่อนๆอยากจะมีรายได้เพิ่มจริงๆ แล้วล่ะก็ ให้รีบสำรวจตัวเองก่อนเลยครับว่า เราจะบริหารเวลาและพรสวรรค์ที่มีอยู่อย่างไรยังไงจึงจะได้ประโยชน์ที่สุด แต่ถ้าคุณไม่มีเวลาว่างในการหารายได้พิเศษจริงๆ แล้วล่ะก็ ผมคิดว่าอย่างน้อย ก็ควรนำเวลาที่เหลือมาปรับปรุงงานที่ทำอยู่ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น อาจจะทำให้เรามีเวลามากขึ้น หรือไม่ก็อาจจะโชคดี เจ้านายเห็นใจ ทำให้เรามีรายได้จากงานประจำสูงขึ้น ก็เป็นวิธีที่น่าสนใจเหมือนกันใช่ไหมครับ (ฮาาา)

กลับมาที่ตัวผมเอง มีความรักและความสนใจในเรื่องของ “คอมพิวเตอร์” และ “อินเตอร์เน็ต” มานานแล้วครับ เริ่มตั้งแต่ตอนเด็กๆผมชอบเล่นคอมพิวเตอร์ เมื่อคอมมีปัญหาก็ล้วงแงะแกะเกาเอาคอมมาซ่อม จนพังคามือมาหลายเครื่อง ประกอบกับพอมีพื้นฐานในการทำเวปไซด์อยู่บ้าง เลยตั้งเป้าหมายแรก ว่าจะลองหาวิธีที่จะมีรายได้จากอินเตอร์เน็ตดูกับเค้าบ้าง

ในทุกๆวัน เมื่อกลับถึงบ้านหลังจากที่ทำธุระส่วนตัวและงานที่บ้านเสร็จ ถ้าหากมีเวลาว่าง ผมจะเริ่มเปิดหาข้อมูลเกี่ยวกับการหารายได้เสริมผ่านอินเตอร์เน็ตอ่านอยู่เสมอ วันละ 2 – 3 ชั่วโมงศึกษาหาความรู้เกี่ยวกับการทำเวปไซด์และการหารายได้ผ่านอินเตอร์เน็ต โดยเริ่มต้นศึกษาข้อมูลจากเวปไซด์ Thaiseoboard.com ซึ่งเป็นเวปไซด์เกี่ยวกับคนที่หารายได้จากอินเตอร์เน็ต เช่น การสอนหารายได้จาก Google Adsense และรายได้จากการเป็น Affiliate (นายหน้า) ให้กับเวปไซด์ต่างๆทั้งในไทยและต่างประเทศ เช่น Amazon.com เป็นต้น

ระหว่างนั้น ผมก็เริ่มต้นหัดทำเวปไซด์อย่างจริงจัง โดยการหาหนังสือมาอ่านและเริ่มต้นทำเวปไซด์ต่างๆดู เมื่อร้อนวิชาได้ที่ก็ลองเขียนเวปไซด์ให้กับคนรอบข้างที่มีธุรกิจส่วนตัว ไม่ว่าจะเป็นแฟน หรือเพื่อนสนิทหลายๆคนที่อยากจะมีเวปไซด์เป็นของตัวเอง โดยเขียนให้ฟรีๆไม่มีการคิดค่าใช้จ่าย เพราะถ้าเกิดทำแล้วงานออกมาไม่ดี เดี๋ยวเค้าจะด่าเราได้ครับ (ฮาาา)

– รายได้ทางเน็ตของนายคืออะไร? –

ผ่านไปสัก 2-3 เดือน กับชีวิตที่ต้องนั่งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ อยู่มาวันนึง ผมก็ได้รับเมลล์จากบุรุษลึกลับคนนึง แจ้งข่าวดีให้ผมทราบว่า เราสามารถมีรายได้ทางอินเตอร์เน็ตกันอย่างง่ายๆ แบบที่ไม่ต้องเปลืองแรง…

Kwai

เมื่ออ่านเมลล์ฉบับนี้จบ หัวใจของผมเต้นแรงมากที่สุดในชีวิต เลือดและฮอร์โมนของผมสูบฉีดอย่างพลุ่งพล่าน นี่แหละคือ “โอกาสทางธุรกิจที่เราไขว่คว้าหามานาน” หลังจากที่ตัดสินใจได้ ผมไม่รีรอที่จะโทรหา “เจ้าป่าน” เพื่อนสนิทที่กำลังสนใจมีรายได้เสริมเช่นเดียวกัน

ผม : เฮ้ย…ไอ้ป่าน กรูมีธุรกิจใหม่จะนำเสนอว่ะ รับรองได้ว่า เราทั้งคู่กำลังจะรวยแน่ๆ งานนี้!!!
ป่าน : ฮาโหล ไม่ได้ยินเลยว่ะ สงสัยสัญญานไม่ดี เมริงพูดอะไรนะ ใครจะซวยวะ???
ผม : – -”

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

error: เว็บไซต์ป้องกันการ copy