เงินน้อยก็รวยได้ ตอนที่ 7 : เงินออมไม่ใช่เงินเย็น อย่าเอาไปเล่นกับความเสี่ยง – -“
หลังจากที่ผมประสบปัญหากับธุรกิจ “เครือข่าย” ที่ผิดกฎหมาย ตามที่เล่าให้ฟังใน “ตอนที่ 6” จนสับสนชีวิตไปพักนึง เมื่อตั้งสติได้ผมกับป่านก็ลงความเห็นกันว่า เราทั้งคู่ควรจะ “เลิก” ทำธุรกิจนี้ และไปหาอย่างอื่นที่แต่ละคนอยากทำดีกว่า ซึ่งเจ้าป่านก็ผันตัวเองไปทำธุรกิจขายของทางอินเตอร์เน็ตควบคู่กับการทำงานประจำ
ส่วนผมตัดสินใจกลับมาศึกษาถึงวิธีการหารายได้จากอินเตอร์เน็ตอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง ถึงได้รู้ว่าจริงๆแล้ว ธุรกิจเครือข่ายที่ผม (เคย) ทำนั้น ถือเป็นส่วนเล็กๆ ของรายได้ทางอินเตอร์เน็ตที่มีมากมายหลายหลาก!!!!
ช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ของผม เริ่มต้นจากกว้านซื้อหนังสือเกี่ยวกับรายได้ทางอินเตอร์เน็ต (ที่มีอยู่ในตอนนั้น) มาอ่านอย่างจริงจัง พร้อมทั้งหาข้อมูลจากเวปไซด์ต่างๆ และเมื่อประมวลผลทั้งหมดแล้ว
ผมจึงตัดสินใจลงมือทำธุรกิจที่ชื่อว่า “Affiliate Marketing”
.
.
– Affiliate Marketing คืออะไร –
ธุรกิจ Affiliate Marketing คือ การทำการตลาดผ่านทางผู้แทนโฆษณาหรือเจ้าของสินค้า โดยเราจะได้รับค่าตอบแทนเมื่อ ลูกค้าที่เราแนะนำเข้ามายังเวปไซด์ได้ทำธุรกรรมอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทางบริษัทกำหนดไว้ เช่น ซื้อสินค้า หรือ สมัครสมาชิก เป็นต้น ถ้าให้เปรียบเทียบง่ายๆคงคล้ายๆกับการทำหน้าทีเป็นพนักงานขายคอยขายและแนะนำสินค้า เมื่อลูกค้าตัดสินใจซื้อสินค้า หรือ สมัครสมาชิก เราจะได้รับค่าคอมมิชชั่นตาม % ที่ได้ตกลงกันไว้ครับ
ตัวอย่างของเวปไซด์ Affiliate นั้นมีมากมายหลากหลายในแต่ละธุรกิจ ยกตัวอย่างเช่น Amazon.com, CJ.com, Clickbank.com นอกจากนั้นยังมีเวปไซด์ที่ให้บริการด้านต่างๆ เช่น การจองโรงแรมอย่าง R24.org หรือ Agoda และอื่่นๆอีกมากมาย เรียกว่าสาธยายกันไม่หมดหรอกครับ
(ตัวอย่างรายได้จาก Affiliate Program)
อ้อ!!! ผมลืมบอกไปว่า นอกจากเรื่อง Affliate แล้ว ยังมีรายได้อีกประเภทหนึ่งที่คล้ายๆกัน คือ รายได้ค่าโฆษณาจาก “Google Adsense” ซึ่งเป็นวิธีการหารายได้โดยนำแบนเนอร์หรือ Code ของ Google มาติดไว้ในเวปไซด์ของเรา โดยเราจะได้รับเงินเมื่อมีคนคลิกโฆษณาในเวปไซด์ครับ
แฮะๆ ผมขออนุญาตอธิบายคร่าวๆเพียงเท่านี้ดีกว่าครับ ไม่งั้นจากเรื่องการ “ออมเงิน” จะกลายเป็นเรื่องของ “รายได้ทางอินเตอร์เน็ต”ไปเสียก่อน เอาเป็นว่าถ้าเพื่อนๆคนไหนสนใจ ผมแนะนำให้ศึกษาเพิ่มเติมได้ที่เวปไซด์ “ThaiSEOBoard.com” ซึ่งเป็นเวปบอร์ดแลกเปลี่ยนเรื่องราวการหารายได้ทางอินเตอร์เน็ตโดยตรงดีกว่าครับ
– ทำธุรกิจต้องลงทุน –
ธุรกิจทุกๆธุรกิจต้องมีการลงทุนใช่ไหมครับ ไม่ว่าจะเป็นแรงงานของตัวเราเอง จ้างคนงาน หรือเงินลงทุนต่างๆ ซึ่งการทำธุรกิจ Affiliate นั้น ต้องมีการใช้เงินลงทุนเหมือนๆกับธุรกิจ ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นสองส่วนที่สำคัญๆ ดังนี้ครับ (ในส่วนนี้ถ้าใครขี้เกียจอ่านจะผ่านไปเลยก็ได้นะครับ แหะๆ เป็นข้อมูลเชิงเทคนิคที่อยากเล่าให้ฟังเฉยๆครับ ^^V)
1. Domain & Hosting หรือ “ชื่อเวปไซด์” และ “พื้นที่ฝากข้อมูลเวปไซด์” โดยปกติทั่วๆไปแล้ว ผู้ที่เริ่มต้นนั้นควรจะมีเงินลงทุนจำนวนหนึ่งสำหรับการเช่าพื้นที่เพื่อฝากข้อมูลของเวปไซด์ (Hosting) และจดทะเบียนชื่อเวปไซด์ (Domain) ซึ่งค่าใช้จ่ายในส่วนนี้จะมากหรือน้อยนั้น ขึ้นอยู่กับจำนวน Domain ที่เราจดทะเบียนและขนาดพื้นที่ที่เราต้องการครับ
แต่บางคนอาจจะเริ่มต้นจากการใช้ของฟรีทั้งหมดก็มีนะครับ ทั้ง Domain ฟรีและพื้นที่ Hosting ฟรีๆ ก็มีให้ใช้ครับ แต่ก็ต้องแลกมาด้วยแบนเนอร์โฆษณาบ้างหรืออื่นๆ แล้วแต่ทางผู้ให้บริการจะเป็นผู้กำหนดครับ
2. ค่าใช้จ่ายเกี่ยวกับโปรแกรมและค่าบริการต่างๆ : การทำเวปไซด์เพือหารายได้ทางอินเตอร์เน็ตนั้น จะมีโปรแกรมเมอร์มากมายทำ Script วางระบบการหาเงินต่างๆ ให้เราเลือกใช้ รวมถึงเราสามารถจ้างโปรแกรมเมอร์ให้พัฒนาหรือออกแบบเวปไซด์ให้กับเราก็ได้ครับ ซึ่งราคาก็เริ่มต้นตั้งแต่หลักร้อยไปจนถึงหลักแสน (O-o)
นอกจากนั้นก็จะมีเรื่องของการบริการต่างๆ เช่น บริการโปรโมทเวปไซด์ บริการปรับอันดับผลการค้นหาใน Search Engine ต่างๆ (ศัพท์ทางเทคนิคจะเรียกว่า SEO หรือ Search Engine Optimization) ซึ่งเราสามารถจ้างผู้ให้บริการได้ตามอัธยาศัยเลยครับ
แต่สำหรับตัวผมเอง ผมเลือกที่จะลงมือทำทั้งหมดที่ว่ามานี้ด้วยตัวเองในตอนแรกครับ เพื่อที่จะได้เรียนรู้และทำความเข้าใจ ตั้งแต่เริ่มต้นทำเวปไซด์ จดทะเบียนชื่อเวปไซด์ ฝากไฟล์ ติดตั้งโปรแกรม (Script) รวมถึงการโปรโมทเวปไซด์ ไปจนถึงการเรียนรู้เรื่อง SEO
ขอบอกตรงๆเลยว่า ในช่วงเวลานั้นถือเป็นอีกช่วงหนึ่งของชีวิตที่ผมรู้สึกดีมากๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับ “นักบัญชี” ที่วันๆต้องจมอยู่กับตัวเลข (จนปวดหัว) แต่ได้มีโอกาสมาเรียนรู้เรื่องแปลกๆใหม่ๆอย่างการทำเวปไซด์นี่แหละ ถือเป็นเรื่องที่สนุกและท้าทาย (สำหรับคนที่มีชีวิตอยู่ในกะลาแบบผม – -“) แถมมันสนุกสุดๆ ก็ตอนที่ทำงานที่เรารักแล้วยังได้เงินด้วยนี่แหละ!!! (ฮาาาาา)
– มีรายได้เพิ่มก็ต้องรู้จักออม (อยู่ดี) –
หลังจากที่ลองผิดลองถูกจนเจอแนวทางในการหารายได้ของตัวเองแล้ว โดยผมสามารถทำ”กำไร” ได้ประมาณ 5 พันบาทต่อเดือน และเงินจำนวนนี้กำลังเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จากการที่ผมได้นำกำไรมาลงทุนต่อไปอีก ไม่ว่าจะเป็นการทำเวปไซด์เพิ่ม หรือหาโปรแกรมดีๆมาใช้งานเพื่อสร้างรายได้อย่างยั่งยืน ไร้รอยต่อ และทำงานร่วมกับเวปไซด์เก่าได้เป็นอย่างดี (ป๊าดดด สโลแกนมันคุ้นๆนะเนี่ย ฮาาาาา)
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด เมื่อรายได้เพิ่มขึ้นแล้ว เงินออมก็ยังคงต้องเพิ่มขึ้นด้วย อย่าเอาแต่หลงระเริงกับรายได้ที่เพิ่มขึ้นแล้วใช้จ่ายจนมันมือ ซึ่งผมยังคงเลือกใช้หลักการออมเงินแบบ “ลบสิบ” เหมือนเดิมครับ ^^b
หลังจากนั้น กำไรจากรายได้ “เสริม” ค่อยๆเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องจนอยู่ที่ประมาณ 1 หมื่นบาทต่อเดือน ซึ่งใกล้เคียงกับเงินเดือนที่ผมได้จากงานข้าราชการ และทำให้ผมสามารถกลับไปออมเงินได้เดือนละ 5,000 บาทเท่าเดิม เพราะว่าผมยังต้องพยายามรักษาระด้บรายจ่ายให้เท่าเดิม รายได้เพิ่ม รายจ่ายไม่ควรจะเพิ่มตาม แต่ก็มีที่บางเดือนอาจจะออมได้น้อยกว่านี้บ้าง ถ้าหากมีรายจ่ายที่จำเป็นเกิดขึ้น แต่ยังไงก็ต้องไม่น้อยกว่าหลักการออมเงินแบบ “ลบสิบ” ที่ได้่ว่าไว้ครับ
เจ้ารายได้ที่เพิ่มขึ้นนั้น ก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ผมมีชีวิตที่ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ออมเงินได้มากขึ้น แถมยังสามารถใช้จ่ายได้สบายกระเป๋ามากขึ้น (นิดหน่อย) หากต้องใช้ แต่ที่สำคัญที่สุด คือ ความภูมิใจที่เราสามารถหารายได้เสริมด้วยฝีมือตัวเองนะโฟร้ยยยยยยย (เยสสสสส)
แต่พอเริ่มมีความสุขได้ไม่นานเท่าไรนัก… ผมก็ได้ยินเสียงกระซิบเบาๆ จากปีศาจที่อาศัยอยู่ส่วนลึกของหัวใจ คอยถามคำถามย้ำๆ ซ้ำๆ ว่า …
– เจ้าบักหนอมเอ๋ย ไม่อยากมีเงินมากกว่านี้เรอะ? แค่นี้มันยังไม่พอหรอกน่า …
– แกไม่อยากได้โทรศัพท์เครื่องใหม่ คอมพิวเตอร์เครื่องใหม่ ไว้่ใช้บ้างหรือไง
– คนอื่นทำได้เป็นแสนแล้วนะ แกยังอยู่แค่หลักหมื่น จงหาเงินให้มากกว่านี้่อีกเซ่!!!!
– วางแผนก้าวต่อไปของชีวิต –
ในระหว่างนั้นเอง ผมกับเจ้าป่านเริ่มคุยๆกันไว้ว่าน่าจะถึงเวลาเรียนต่อ “ปริญญาโท” สักที เพราะอายุอานามก็ไม่ใช่น้อยแล้ว เดี๋ยวแก่เกินเรียนก็คงจะลำบากไปกันใหญ่ (ปกติหน้าก็แก่อยู่แล้วด้วย แหะๆๆ) โดยหลักสูตรที่ผมวางแผนจะเรียนต่อนี้ ต้องใช้เงินประมาณ 300,000 บาท
นั่นแหละครับ เสียงปีศาจร้ายในหัวใจก็ยิ่งต่อว่าผมดังขึ้นอีก….
– ไอ้หนอม!!! แกคิดว่า เงินที่แกมีอยู่จะพอให้แกเรียนต่อหรือไง ( TwT )
– หาเงินได้แค่นี้อยากจะมาเรียนต่อ ท้ายที่สุดคนอย่างแกก็คงทำไม่ได้หรอก
– เงินเดือน 2 หมื่น คิดอยากจะเรียนโทหลักสูตรละ 3 แสน ถุยยยส์!!!
โอ๊ะ โอ๊ะ โอ้ววววว!!! โน โน่ โอ๊ะ โอ๊ะ โอ้ววววว!!! โน โน่ (ไม่ใช่เพลงของบอดี้แสลมเว้ยเฮ้ย ใจเย็นครับ!!) ม่ายยยยยยยยยยยยยยยจริงงงงงงงงงงงงง!!! ทุกวันนี้เรายังไม่มีรายได้พอจะเรียนแน่ๆเลยยยยย ไม่ยอม ไม่ยอม ไม่ได้การแล้ว เราต้องทำอะไรสักอย่างแล้ว ….!!!
ผมตัดสินใจจับมือกับเจ้าปีศาจร้าย พร้อมกับมองเห็น “หนทาง” ที่จะทำเงินมากจากอินเตอร์เน็ตขึ้นมาทันที
แหม่ “ความโลภ” นี่มันครอบงำ “คนโลภ” (อย่างผม) ได้ง่ายจริงๆเลยนะครับ TwT
– เมื่อด้านมืดเข้าครอบงำ –
อย่างที่ผมเคยเล่าทิ้งท้ายไว้ใน “ตอนที่ 4” ว่า หลังจากที่ตัดสินใจลาออกจากงานสอบบัญชี ผมมีเงินออมติดตัวอยู่ประมาณ 100,000 บาท แต่ลืมเล่าไปว่า หลังจากนั้นผมยังได้เงินก้อนสุดท้ายตอนออกจากงาน ซึ่งมาจากกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ + เงินเดิอน + โอทีและสวัสดิการต่างๆ (ลาภลอยยยยแล้วเฟร้ยยย) อีกประมาณ 50,000 บาท รวมทั้งสิ้นไม่น่าจะน้อยกว่า 150,000 บาท นอกจากนั้นผมก็มีส่วนของ “เงินออม” ที่สะสมเพิ่มขึ้นจาก “รายได้ทางอินเตอร์เน็ต” และ “งานประจำ” รวมๆ กับงานรับเขียนเวปไซด์อีกประมาณ 50,000 บาท (ทั้งหมดนี้เป็นตัวเลขคร่าวๆนะครับ ของจริงจำไม่ได้เปีะๆ ว่าเท่าไร อาจจะมีตกหล่นบ้าง ให้อภัยหน่อยนะครัฟ – -” )
เอาแบบนี้ดีกว่าครับ เอาเป็นว่ารวมๆ แล้วทั้งหมด คิดว่าผมมีเงินอยู่ประมาณ 200,000 บาทละกันครับ โดยตอนแรก “เงินออม” ทั้งหมดนี้เป็นเงินที่ผมตั้งใจจะเก็บออมไว้สำหรับใช้ในยามฉุกเฉิน และหาโอกาสที่จะลงทุนให้เงินงอกเงยเพิ่มขึ้น แต่จนแล้วจนรอดยังไม่มีเวลาศึกษาความรู้ด้านการลงทุนซักที มัวแต่ลงมือหารายได้เสริม กับคอยเก็บเงินๆอย่างเดียว แทบจะหมดแรงแล้วครับ ก็เลยทิ้งไว้ในบัญชีของธนาคารอย่างนั้น โดยไม่ได้ไปสนใจอะไรมาก
เอาล่ะ … กลับมาที่เรื่องด้านมืดครอบงำกันต่อดีกว่า เมื่อตัดสินใจจะหารายได้เพิ่มขึ้น (แบบรวดเร็ว) ประกอบกับผมมองเห็นว่ามีโปรแกรมเมอร์ท่านหนึ่งกำลังเขียน Script (โปรแกรม) ออกมาขาย พร้อมกับการันตีความสามารถโดยการโชว์ยอดรายได้ผ่านๆมา (ที่เค้าทดสอบ) ให้เห็นว่า มันสามารถทำเงินได้จริงๆ นะเธอว์ เพียงแค่ติดตั้งระบบให้เรียบร้อย จัดทำเวปไซด์แล้วก็ปล่อยให้มันทำเงินโดยที่ “ไม่ต้องทำอะไร” …
มันมาอีกแล้วครับพี่น้องงงงง ….. เจ้าไอเดียบรรเจิดจินตนาการลอยขึ้นมาว่า….
– มันจะดีแค่ไหนน้อ ถ้าหากเราสามารถมี “เครื่องจักรทำเงิน” ที่คอยช่วยให้เรามีรายได้จากเวปไซด์ทุกๆเดือน เดือนละหลายหมื่นบาท
– มันคงดีมากๆเลยนะ ถ้าเราสามารถปล่อยให้เวปไซด์ทำงานไปตามหน้าที่ของมัน ให้มันหารายได้ให้เรา แล้วเราก็เอาเวลาไปเรียนโท พร้อมกับมีค่าเทอมจากเวปไซด์เหล่านี้สบายๆ
ทันใดนั้นเอง เสียงกระซิบแสนทุ้มนุ่มลึกจากโปรแกรมเมอร์ก็มาตอกย้ำความเชื่อมั่นของผมอีกครั้งหนึ่ง !!!…
“ไม่ต้องกลัวนะครับคุณหนอม ขอแค่ setup ระบบให้เรียบร้อย ติดตั้งอะไรเสร็จ ก็ปล่อยให้เวปพวกนี้คอยทำเงินกลับมาให้เราเอง”
“จริงเหรอครับ มันทำได้แบบนั้นจริงๆหรือครับ ไม่ต้องทำอะไรเลยใช่ไหมครับ”
“จริงสิครับ ผมจะหลอกคุณหนอมทำไม จุฟ จุฟ”
เอาเลย ทำเลย เอาเลย ทำเลย!!! เจ้าปีศาจโผล่มากระซิบบอกผมข้างหูอีกครั้งหนึ่ง นี่มันคือ “การลงทุน” ชัดๆ แกเห็นไหมว่าหลายๆคนก็ทำได้ (ผมพยักหน้า) อ๊ะ!!!! เอาก็เอาว๊ะ !!! ลองดูกันสักตั้ง รายได้ของเราจะได้ “เดินหน้าทันที” แถมยังพร้อมประสานงานกับทุกฝ่ายด้วย !!! (เอ๊ะ!! นี่มันสโลแกนคุ้นๆอีกแล้วหรือนี่ – -“)
ถ้าหากย้อนเวลากลับไปได้ สิ่งแรกที่ผมอยากทำ คือ เดินเข้าไปตบกบาลตัวเอง (ในอดีต) แรงๆสักที แล้วถามว่า
“เฮ้ยยย บักหนอมเมริงไม่เคยคิดถึง “ความเสี่ยง” จากการลงทุนบ้างหรือไงฟระ!!!!!”
– ความเสี่ยงในการลงทุน (Risk) –
เมื่อพูดถึงเรื่องความเสี่ยง ขออนุญาตอธิบายความหมายของ “ความเสี่ยงในการลงทุน” ให้เพื่อนๆฟังสักเล็กน้อยนะครับ (ได้โอกาสเข้าเรื่องแล้วเรา ^^)
“ความเสี่ยงในการลงทุน” คือ
โอกาสของผลตอบแทนที่เราได้รับจริงจะ “แตกต่าง” จากผลตอบแทนที่เรานั้นคาดหวังไว้ว่าจะได้รับ
(อาจจะ “มากกว่า” หรือ “น้อยกว่า” ก็ได้)
ในโลกนี้ การลงทุนทุกประเภทล้วนมีความเสี่ยงทั้งนั้นครับ แม้แต่การเอาเงินฝังดินเก็บไว้ ยังถือว่ามีความเสี่ยงเลยครับ เพราะเงินของเราอาจจะโดนน้ำท่วมครั้งใหญ่ หรือ โดนเพื่อนบ้านมาแอบปีนหน้าต่างเข้ามาขุดไปได้เหมือนกัน (ฮา)
“ผลตอบแทนที่สูงขึ้น = ความเสี่ยงที่มากขึ้น”
หลายคนคงเคยได้ยินคำกล่าวว่า “High Risk High Return” ที่แปลเป็นภาษาไทยแบบงงๆ ว่า “การลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูง มักจะมีความเสี่ยงสูง” (ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลก่อนการลงทุน เย้ย!!)
แนวคิดนี้ถือเป็นแนวคิดพื้นฐานของการลงทุนทุกประเภทเลยครับ ถ้าหากเราคาดหวังอัตราผลตอบแทนจากการลงทุนสูง (High Return) ความเสี่ยงที่เราจะต้องแบกรับจากการลงทุนก็ควรจะสูง (High Risk) ตามไปด้วย ดังนั้น ถ้าหากเราเห็นว่าการลงทุนไหนที่ให้ผลตอบแทนที่ (น่าจะ) มากกว่าแล้วล่ะก็ ให้คิด (เอาเอง) ไว้ก่อนเลยครับว่า การลงทุนนั้น (น่าจะ) มีความเสี่ยงที่สูงกว่า
แต่สิ่งที่สำคัญที่สุด เราต้องไม่เชื่อว่า การลงทุนที่เสี่ยงมากกว่าจะให้ผลตอบแทนที่มากกว่าเสมอไป เพราะบางทีแล้ว เราอาจจะไม่ได้อะไรติดมือกลับมาเลย…. จากการที่เราหลงยอมรับความเสี่ยงสูงๆได้ (เพราะคิดว่าจะได้รับผลตอบแทนที่สูงกลับมา) ><”
– ผลของความโลภ –
หลังจากที่ล่องลอยละเมออยู่ในความฝันว่า “กำลังจะรวย” ผมตัดสินใจนำเงินออมที่มีอยู่จำนวน 150,000 บาท มาลงทุนทั้งหมด (หลายๆคนคงคิดว่าไอ้นี่ใจเด็ดจริงๆ … เปล่านะครับ “ผมโง่ต่างหาก” TwT) พร้อมกับความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่า คราวนี่แหละ ธุรกิจที่จะทำให้เรามีเงินได้เสริมแบบ “Passive Income” เข้ามาทุกๆเดือน โดยที่ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย แค่เพียงสร้างเวปไซด์ ติดตั้งระบบให้เรียบร้อย โปรโมท แล้วก็รอให้มันทำเงินให้กับเรา สมบูรณ์แบบ Perfect!!!!
ผลตอบแทนที่ผมคาดหวังในตอนนั้นคือ ต้องมีรายได้กลับมาเดือนละ 2-3 หมื่นบาท (ขั้นต่ำ) เพราะผมลงทุนทำไปทั้งหมด 100 เวปไซด์!!!!! ขอเพียงแค่เวปละสองพันบาทต่อเดือน แปบเดียวเราก็คืนทุนแล้ว (คิดในใจพร้อมกับอมยิ้มเก็กหล่อไปพลางๆ)…
แหม่!!!! คิดแล้วมันช่างสวยงามจริงๆนะครับ แค่เงินลงทุนไม่กี่ (แสน) บาทแต่ได้ผลตอบแทนขนาดนี้ เป็นใครจะไม่เอาใช่ไหมล่ะครับ ไม่กี่เดือนก็คืนทุน แถมยังมีรายได้ไปตลอดชีวิต
เมื่อโปรแกรมจัดการติดตั้งเวปไซด์ให้เสร็จ ผมส่งต่อให้คนโปรโมท พร้อมกับนั่งยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ นี่แหละหลักการทำงานที่ถูกต้อง คือต้องลงทุน “จ้างให้คนอื่นทำ” แล้วเราเป็นคนวางแผนก็พอ ทำนองเดียวกันกับใช้ “เงินทำงาน” อะไรที่เค้าชอบพูดๆกันนี่แหละ
หลังจากนั้นในแต่ละเดือน ผมก็นั่งลุ้นกับรายได้ที่จะตามมา (อย่างตื่นเต้น) …
– ผ่านไปเดือนแรก โอ๊ะ เวปไซด์ยังไม่ทำเงิน อาจจะเป็นมันยังไม่เข้าที่ คงต้องรอสักพักให้ติดอันดับดีๆก่อน
– ผ่านไปเดือนที่สอง ช่วงปลายเดือนเริ่มทำเงินมาประมาณ 20 เหรียญ บ๊ะ!!! เริ่มแล้ว มาแล้ว อีกไม่นานต้องมา … แฮร่
– ผ่านไปเดือนที่สาม ยังคงทำเงินอยู่ที่ 20 เหรียญ (เท่าเดิม) เฮ้ย… ทำไมมันน้อยจังฟระ ลงทุนไปตั้งแสนนะโฟร้ยยย ต้องมีอะไรกลับมาบ้างดิ
– ผ่านไปเดือนที่สี่ กระเตื้องขึ้นมาเป็น 30 เหรียญ
– และหลังจากนั้น จำนวนเงินก็ไม่เคยขยับมากกว่านั้นอีกเลยยยยย….
เป็นยังไงบ้างครับ เงินลงทุนจำนวน 150,000 บาท ได้รับผลตอบแทนกลับมาเดือนละไม่ถึงหนึ่งพันบาท และการลงทุนครั้งนี้ ผมได้รับผลตอบแทนทั้งหมดคือ เช็คจากต่างประเทศมีมูลค่า 140 เหรียญ คิดเป็นเงินได้ประมาณ 4 พันบาทนิดๆ (เยี่ยมมมมมมม – -“)
ตอนแรกนั้น ผมก็ไม่ทราบครับว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้เป็นเพราะอะไร แต่มาทราบเอาตอนช่วงหลังๆว่า ระบบของทาง Search Engine อย่าง Google มีการปรับเปลี่ยนวิธีการใหม่ โดยจะทำการแบนเวปที่มีลักษณะแบบนี้ออกจากระบบการค้นหาทั้งหมด และเมื่อเวปทั้งหมดของผมไม่อยู่ในระบบการค้นหา (ตามที่เคยวางแผนไว้) แล้วใครมันจะมาหาเจ้ออออออออ (โว้ยยยยยยยยยยยยยยยยยยยย)
ความผิดพลาดครั้งนี้ เราลองมาหาตัวผู้กระทำผิดกันดีว่า ว่าคือใครกันแน่ ระหว่าง….
– ความผิดของโปรแกรมเมอร์ อืม… ก็ไม่น่าจะใช่ เพราะการติดตั้งทุกอย่างสมบูรณ์แบบ ไม่มีอะไรผิดพลาด และเวปของเค้า (ในตอนนั้น) สามารถทำรายได้ได้จริง (โปรแกรมเมอร์คนนี้ไม่ใช่คนโกหกหลอกลวงครับ อันนี้ผมการันตีได้)
– ความผิดของทีมงานโปรโมท ก็ไม่น่าจะใช่หรอก เพราะเค้าทำหน้าที่โปรโมทตามที่เราสั่งเรียบร้อยดี แถมยังมีรายงานให้เราดูอีกด้วย
– ความผิดของ Google ที่เปลี่ยนระบบการค้นหา ก็ไม่น่าจะใช่อีกนั่นแหละ!! เพราะมันเป็นสิทธิของทาง Google ที่จะเลือกพิจารณาเวปไซด์ที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ใช้งาน (ตามความเห็นของระบบเค้า) จะไปว่าเค้าก็ไม่ได้เนอะ
แล้วมันเป็นความผิดของใครกันล่ะ???
.
.
.
อืม… ถ้าไม่ใช่ทั้งหมดนี้ ก็คงเป็นความผิดของ “กรูนี่” แหละครับ!!!! (เหลืออยู่คนเดียว)
กูก้ง กูเกิ้ล กูเก้ง แกมโม่ แกมเม่อ ไม่มีใครผิดสักคน!!!!!
– ล้มเหลวอีกแล้ว –
ตอนที่ผมรู้ความจริงว่า เวปไซด์ที่ผมลงทุนลงแรงไปทั้งหมดนั้น ไม่ทำเงิน และไม่มีทางทำเงินอีกแน่ๆในอนาคต ก็เป็นช่วงเดียวกันที่ผมรู้ว่าผมสอบติดหลักสูตรปริญญาโทด้านบัญชีเป็นที่เรียบร้อย
คงต้องยอมรับตรงๆ ว่าครั้งนี้ “เจ็บหนัก” กว่าตอนทำธุรกิจเครือข่ายเยอะครับ เพราะลงทุนทั้งแรง ลงทุนทั้งเวลา และที่สำคัญ ลงทุนทั้งเงิน (จนเกือบๆหมดตัว) อาห์… ความเจ็บปวดของคนที่หมดตัวจากการทำธุรกิจด้วยความประมาท ผสมปนเปกับความรู้สึกที่ถามตัวเองว่า จะไปหาเงินมาจากไหนเพื่อเรียนต่อ มันอึ้งๆ มึนๆ ช่ำๆ ปนๆกันอยู่แบบนี้สักพักใหญ่ๆ
ผมคิดว่าในครั้งนี้ ถือเป็นความรู้สึกเจ็บปวดที่สุดในชีวิต และมันจะแย่ที่สุดตอนที่เราต้องยอมรับความจริงกับตัวเองว่า ที่จริงแล้วเรานั่นแหละเป็นคนที่ทำผิดพลาดเองทุกอย่าง เราไม่ได้เก่ง (อย่างที่เราคิดไว้) เรียนจบสูงมาแค่ไหน มีประสบการณ์ทำงานมาเท่าไร มันไม่ใช่เรื่องสำคัญ ถ้าคุณไม่สามารถบริหารจัดการระบบ “ความคิด” ที่จะทำให้เราสามารถวางแผนและจัดการธุรกิจได้
อย่างไรก็ตาม ประสบการณ์ชีวิตในครั้งนี้ถือเป็นเรื่องดีๆอีกเรื่องหนึ่งที่เกิดขึ้นกับชีวิตของผมครับ (อ้าว น้องแพนเค้กมาเอง – -“)
– เงินออม กับ เงินเย็น –
เมื่อเงินที่ผมเก็บออมมาทั้งตลอดชีวิต 27 ปี หายไป (เกือบ) หมด ทำให้ผมสำนึกได้ว่า “เงินออม ไม่ใช่ เงินเย็น”
“เงินออม” คือ เงินที่เราต้องเก็บไว้สำหรับฉุกเฉิน หรือไว้สำหรับประคองชีวิตในตอนที่มีปัญหา หรือเก็บไว้ใช้จ่ายในช่วงบั้นปลายของชีวิต
ส่วน “เงินเย็น” คือ เงินที่เราสามารถเสียไปโดยที่ไม่เดือดร้อนในการใช้ชีวิต
อย่าเอาเงินที่เราเก็บไว้เพื่อใช้ในเวลาจำเป็นมา “ลงทุน” เพราะถ้าหากเกิดเหตุจำเป็นแล้ว เราจะต้องเจอกับปัญหาที่ยิ่งใหญ่ว่า จะเอาเงินมาจากไหนดีล่ะ??
ดังนั้น ผมอยากให้ทุกๆคนจำไว้ว่า ในทุกๆการลงทุนของเรานั้น ควรที่จะใช้ “เงินเย็น” มากกว่า “เงินออม” เพราะถ้าเกิดความผิดพลาดขึ้นมาแล้ว เราจะได้มีหนทางที่จะถอยหลังกลับไปได้ยังไงล่ะครับ
เพียงแต่ว่าตอนนั้นผมไม่มีทางให้ถอยอีกแล้วน่ะสิครับ!!!!
(โปรดติดตามตอนต่อไป)