fbpx

เงินน้อยก็รวยได้ ตอนที่ 8 : ชีวิตแค่โดนทำร้าย แต่ที่สุดมันต้องไม่โดน

โพสต์เมื่อ: 21 ก.พ. 2013

ป้ายกำกับ: , , , , , ,


ความเดิมจาก “ตอนที่ 7” หลังจากที่ล้มเหลวแบบสุดๆกับงาน “Affiliate Marketing” จนตัวผมเองมีสภาพคล้ายๆกับคนที่เป็นแผลเหวอะหวะเหมือนโดนไฟไหม้ น้ำร้อนลวก เป็นหนอง ผิวหนังอักเสบ เป็นหนอง (พอแล้ว!!!!)

เปิดดูสมุดบัญชีเหลือเงินอยู่ประมาณ 2 หมื่นกว่าบาท ดูเสร็จแล้วแทบจะตะโกนร้องแบบพี่จา พนมในเรื่องต้มยำกุ้งว่า “เงินตรู!!! อยู่ไหน” “เงินตรู!!! อยู่ไหน” “เงินตรู!!! อยู่ไหน” “เงินตรู!!! อยู่ไหน” (อ่านซ้ำประมาณ 10 รอบจะได้อารมณ์ยิ่งขึ้นนะครับ)

TwT

– อยู่กับความล้มเหลว –

โดยส่วนตัวแล้ว เมื่อช่วงไหนของชีวิตที่ผมต้องเจอกับความล้มเหลว สิ่งที่ตามมาคือความรู้สึกแสนเศร้าพร้อมกับ “ความหลอน” เหมือนกับมีเสียงกระซิบอยู่ในหัวตลอดเวลาว่า “เมริงนี่แหละ เป็นคนทำร้ายตัวเองชัดๆ” หรือไม่ก็ “บอกกี่ครั้งแล้ว.. ไม่เคยฟังเลย” เพียงแต่ความล้มเหลวครั้งนี้มันมีความ “กลัว” เข้ามาร่วมด้วยเพราะยังตอบตัวเองไม่ได้ว่า “จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าเรียน (ปริญญาโท)”

ในตอนนั้น รู้สึกทรมานมากจนถึงขั้นสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วก็งงๆเบลอๆ คอยถามตัวเองว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนี่มันฝันไปหรือเปล่า (วะ) ทำไมชีวิตของเรามันถึงพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้ เฮ้อออออ (ว่าแล้วก็ล้มตัวนอนต่อ เผื่อว่าจะเป็นแค่ฝัน – -“)

– กำลังใจ –

หลังจากที่ผ่านความล้มเหลวมาได้สักพัก อาการหลอนๆก็ดูเหมือนจะหนักขึ้น จนคนในครอบครัวและคนรอบข้างเริ่มสังเกตว่า ไอ้เจ้าบักหนอมนี่น่าจะมีอาการแปลกๆ (คล้ายๆกับคนที่มีอาการผีเข้า ชอบทำเสียง งืมๆ มึนๆ ล่องลอย ตลอดเวลา – -“) ในที่สุด “แม่” ก็เป็นคนแรกอดรนทนไม่ไหว จึงต้องมาเลียบๆเคียงๆถามดู

แม่ : นี่ๆๆๆ พักนี้แกเป็นอะไร ดูแปลกๆไปนะ
ผม : งืมๆ อ่อ เปล่าแม่ ไม่มีอะไรหรอก เครียดนิดหน่อย
แม่ : สอบติดโทแล้วไม่ใช่หรอ จะะเครียดทำไมอีก (คำถามแรกก็โดนซะแล้ว – -“)
ผม : …. คือ ไม่ ไม่ ไม่มีอะอะอะ ไร …
แม่ : ว่าไง ทำไมเครียดล่ะ บอกแม่มาสิ (เสียงเข้ม Level 1)
ผม : … เอ่อ คือ ว่า …
แม่ : ทำไมเครียด!!!! บอกมา (เสียงเข้ม Level 2)
ผม : เอ่อ….ฟังก่อนแม่ คือ …
แม่ : บอกมาเดี๋ยวนี้!!!!!!! ทำไมเครียด!!!!! (ระดับพลังเสียงสูงสุด Level 99 TwT)
ผม : บอกแล้วๆๆๆๆ (พร้อมกับยกมือกุมหัว ย่อตัวลงต่ำ) เครียดที่ไม่มีเงินเรียนต่อ เอาไปทำ Affiliate หมดแล้ว แง๊…
แม่ : อะไรนะ!!! แกเอาไปเสพอะไร!!! นี่แกติดยาด้วยเรอะ!!!!!
ผม : ไม่ใช่ๆ เอาไปทำธุรกิจ เค้าเรียกว่า Affiliate ….

เมื่อตั้งสติได้ ผมจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แม่ฟัง พร้อมกับสรุปที่มาที่ไปว่าทำอะไรมาบ้าง ถึงมีอาการแบบนี้

แม่ : เรื่องแค่นี้ ผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไป แล้วตอนนี้เหลือเงินเท่าไร
ผม : ประมาณ 2-3 หมื่น ไม่น่าจะมากกว่านี้
แม่ : แล้วค่าเรียนปริญญาโทเท่าไร
ผม : เทอมแรกประมาณ 6 หมื่น (มั้ง) จำไม่ได้อ่ะ ราวๆนี้
แม่ : วันหลังมีอะไรก็หัดบอกกันบ้าง จะได้ช่วยเหลือกันได้ ดีนะเสียเงินแค่นี้ ถ้าเป็นหนี้เข้าไปอีก ไม่รู้จะโดนแค่ไหน

หลังจากนั้น ผมก็เห็นแม่เดินไปซุบซิบกับพ่อสักพัก ผมเห็นพ่อพยักหน้าหงึกหงัก แล้วก็ส่ายหน้าไปมาๆ แล้วก็กลับมาพยักหน้าต่อ (อะไรวะเนี่ย – -“) อีก 2-3 ชั่วโมงถัดมา พ่อก็เดินเอาเงินมาให้ผม 60,000 บาท พร้อมกับแม่ที่ทำหน้าอมยิ้มอยูู่ข้างๆ

พ่อ : นี่ค่าเทอมเทอมแรกนะลูก พ่อมีให้เท่านี้แหละ ..
ผม : …เท่านี้ก็พอแล้วพ่อ (ยื่นมือออกไปรับแบบสั่นๆ งงๆ ผสมอารมณ์ซึ้ง)
พ่อ : พ่อช่วยได้แค่เทอมเดียวนะลูก พ่อไม่มีเงินแล้ว
(จริงๆพ่อผมมีเงินเยอะที่สุดในบ้านนะครับ แต่ว่าแกชอบเก็บไว้เอง ฮาา)
ผม : ขอบคุณครับ พ่อ & แม่ (กราบ)

แม้ว่าจะเกิดความผิดพลาดครั้งที่สองในชีวิต ผมก็ได้ “ครอบครัว” นี่แหละครับ ที่คอยช่วยเหลืออยู่เสมอๆ (คิดขึ้นมาทีไรก็รู้สึกแย่ทุกที) อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย โตขนาดนี้แล้ว ยังสร้างภาระและปัญหาให้กับครอบครัวไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียที เมื่อเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นมา น้ำตาลูกผู้ชายก็คล้ายๆจะไหลออกมาจากตา … แต่ดูเหมือนว่าแม่จะอ่านความรู้สึกของผมออก เลยดักคอออกมาก่อนว่า

แม่ : ไม่ต้องคิดมากหรอกลูก ที่ผ่านๆมาพ่อและแม่คอยบอกเสมอให้แกรู้จัก “ประหยุัดและอดออม” เพราะว่าแกจะได้รู้จัก คุณค่าของ “เงิน” แต่ไม่ใช่ว่าครอบครัวเราไม่มีเงินหรอกนะ ดังนั้นถ้าเกิดปัญหาอะไร ก็มาบอกแม่บอกพ่อได้เหมือนเดิม อย่างเรื่องแบบนี้ จริงๆแล้ว ถ้าบอกก่อน อาจจะมีวิธีแก้ไขที่ดีกว่านี้ก็ได้
ผม : รู้แล้ว แต่ว่าหนูเสียดายเงินอ่ะ (นี่แกยังเรียกตัวเองว่าหนูอีกเรอะ – -“)
แม่ : อย่าไปเสียดายกับความผิดพลาดเลย จำไม่ได้เหรอที่แม่เคยบอกตั้งแต่ตอนเด็กๆว่าแกเป็นเด็กที่ “ต้นทุนต่ำ” คิดเสียว่าเอาเงินตอนนั้นมาใช้ตอนนี้ละกันนะ

– เด็กต้นทุนต่ำ –

ขออนุญาตขยายความคำว่าเด็ก “ต้นทุนต่ำ” สักเล็กน้อยนะครับ คำนี้เป็นคำที่แม่ชอบเรียกผมมาตั้งแต่เด็กๆ เนื่องจากหลังจากที่ผมจบชั้นประถมและเข้าเรียนชั้นมัธยมเป็นต้นมานั้น ผมเรียนอยู่ในสถานศึกษาของรัฐบาลจนจบมหาวิทยาลัย ซึ่งถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ถูกมากเมื่อเปรียบเทียบกับโรงเรียนเอกชนและมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังต่างๆ เพราะถูกบ่มเพาะให้คิดเสมอว่า ต้อง “ประหยัด” ในวันนี้เพื่อ “อนาคต” (ความหมายข้างต้นที่พูดมานี้ ไม่ได้ต้องการบอกว่าสถานศึกษาที่ไหนดีกว่ายังไงนะครับ เพราะทุกอย่างอยู่ที่ตัว “บุคคล” แค่เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายให้ฟังเฉยๆครับ)

โดยเฉพาะในสมัยที่ผมยัง “หัวเกรียน” อยู่นั้น แม่จะเป็นคนคอยปลูกฝังอยู่เสมอๆว่า ถ้าหากวันนี้แกเรียนในโรงเรียนของรัฐที่มี “ค่าใช้จ่าย” น้อยก็เท่ากับว่าแกจะมี “มรดก” เหลือไว้ในอนาคตมากขึ้น ดังนั้นถ้าไม่อยากให้พ่อแม่ต้องเอาเงินในอนาคตของแกมาใช้ จงประหยัดค่าใช้จ่ายพวกนี้ซะ!!!!! (คล้ายๆจะสอน แต่จริงๆคือคำสั่ง – -“)

แหม่ ในตอนนั้นผมก็เป็นเด็กว่าง่ายเอาซะด้วย แต่มันน่าเสียดายตรงที่ไอ้เด็ก “ต้นทุนต่ำ” คนนั้น กลายมาเป็นผู้ใหญ่ “ต้นทุนสูง” น่ะสิ!!!!

– ปลดแอกความรู้สึก –

หลังจากที่รับเงินมาและเอาไปจ่ายค่าเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมให้สัญญา (อีกครั้ง) กับตัวเองว่า นี่จะต้องเป็น “ครั้งสุดท้าย” ที่จะรบกวนให้พ่อกับแม่มาช่วยเหลือด้านการเงิน

แต่เมื่อสัญญาเสร็จแล้ว “ความเครียด” มันก็เพิ่มขึ้นมาทันทีทันใด เพราะผมคิดๆดูแล้วก็พบว่า ยังเหลือภาระที่ต้องรับผิดชอบต่อจากนั้น คือ “ค่าเทอมในส่วนที่เหลือ” และ “ธุรกิจ Affiliate” (ที่ยังยืนยันว่าจะทำต่อ) เพราะดูแล้วยังไงๆ เงินเดือนข้าราชการคงจะไม่พอกินพอใช้อย่างแน่นอน

ระหว่างๆที่คิดหาทางออกอยุ่นั้น ความรู้สึกเศร้าๆ เพ้อๆที่ยังไม่จางหาย มันยังกลับมาตอกย้ำในความผิดพลาดของเราในอดีตอยู่เรื่อยๆ “เฮ้อออ ทำไมนะ ทำไมเราถึงเสียเงิน 150,000 บาทไปได้ง่ายๆ เรานี้่มันโง่ขนาดนั้นเลยหรือไง”พอคิดแล้วก็เศร้า เศร้าก็ยังคิด ชีวิตก็ยิ่งเศร้า

แต่อยู่ๆมาวันหนึ่ง ผมก็ได้รับคำตอบที่ทำให้หายเครียดระหว่างที่นั่งกินข้าวกับผู้หญิงคนหนึ่ง สมมุติว่าชื่อว่า “คุณแฟน” ละกัน (ฮิ้ววววว)

คุณแฟน : นี่ชั้นถามหน่อย เมื่อไรเธอจะเลิกบ้าแบบนี้สักที นั่งเหม่อลอยเหมือนคนไร้สติมาหลายอาทิตย์แล้วนะ
ผม : ไม่ได้บ้า คือเธอไม่เข้าใจเราหรอก แมร่ง เสียเงินเป็นแสนนะ รู้สึกโง่อ่ะ ยังไงก็่รู้สึกโง่ คนโง่อย่างเรานี่มันโง่จริงๆ
คุณแฟน : เอ้า … เอาแบบนี้ละกัน ชั้นขอถามเธอหน่อย เวลาเธอไปกินข้าวนอกบ้าน กินข้าวสังสรรค์กับเพื่อน เธอจ่ายเงินไปมื้อละประมาณเท่าไร
ผม : อ่า ก็ราวๆ 500 – 1,000 บาท
คุณแฟน : แหม่ ไม่เห็นจะยากเลย คิดสิว่า 1 ปีที่ผ่านไปเราเสียเงินไปกับการกินข้าวนอกบ้านทุกวัน สองร้อยกว่าๆมื้อ นี่แหละ เงินแสนที่เสียไป / จบ
ผม : อาาาห์ (เดี๋ยวนะ เรื่องมันจบง่ายๆแบบนี้เลยเรอะ!!) แล้วยังไงต่อล่ะ แต่ทำธุรกิจไม่เหมือนกินข้าวนะ อันนั้นมันค่อยๆเสียทีละนิดละหน่อย แต่อันนี้เราเสียไปทีเดียว เกือบจะหมดตัวเพราะธุรกิจไปเลยนะเนี่ยยยยย พูดแล้วก็อยากร้องตะโกนออกมา “เงินตรู….อุ๊บ”
คุณแฟน : (รีบเอามือมาปิดปาก) ฟัง!!! แต่เงินก้อนนี้ที่เธอเสียไป อย่างน้อยก็ได้ “ความรู้” กลับมานะ เอาไปกินข้าวมันก็ได้แค่อิ่ม แม้ตอนนี้เธอจะเสียเงินไปมากแค่ไหนก็ตาม แต่เธอไม่ได้เสีย “ความรู้” ในการทำธุรกิจไปด้วยสักหน่อย
ผม : (ทำท่าตกใจ ยกมือปิดปาก) อาหหห์ ใช่แล้วสินะ เรายังมีความรู้!!! ที่ไม่ได้เสียไปพร้อมๆกับเงินหลักแสน!!! เยสสสสส (น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว – -“)

– ความรู้ สำคัญกว่า ความรวย –

หลายๆคนมักจะตั้งคำถามกับชีวิตว่า เมื่อไรจะมีเงินเยอะๆสักที เราจะได้เป็นอิสรภาพทางการเงิน แต่จริงๆแล้ว ไม่จำเป็นหรอกครับที่เราต้องมีเงินเยอะๆ เสมอไป เพราะเงินน้อยก็ทำให้เรามีอิสรภาพได้เช่นกันครับ ถ้าอยากรู้ว่าทำยังไงลองหาหนังสือ “เงินน้อยก็รวยได้” ที่เพิ่งวางแผนไปไม่กี่วันนี้มาอ่านดูสิครับ เจ้าของเดียวกันกับ “ตัดภาษี มีเงินออม TaxBugnoms ช่วยได้” (Tie-in โฆษณาซะเลย ฮาา)

TBN-S

หลังจากที่ผ่านประสบการณ์ล้มลุกคลุกคลานมาหลายรอบ ผมจะกลับไปเริ่มต้นตั้งคำถามกับตัวเองว่า ความผิดพลาดที่ผ่านมานั้น ทำให้เราได้รับ “ความรู้” หรือได้อะไรที่จะ “สร้างสรรค์” ในอนาคตต่อไปหรือเปล่า ถ้าได้สิ่งเหล่านั้นมาบ้างไม่มากก็น้อย จงอย่าไปเสียดายมันเลย (แต่ต้องอย่าทำผิดเรื่อยๆ อันนั้นเรียก “ง่าว” นะครับ แฮร่)

และจากประสบการณ์ที่ล้มเหลวเพิ่งเล่าจบไป ทำให้ผมต้องมีความ “รอบคอบ” มากกว่าเดิมในการตัดสินใจ โดยเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ และนำรายได้ที่ยังได้รับจากการทำธุรกิจ Affiliate ในตอนแรกมาค่อยๆ ทยอยลงทุน เก็บออมไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับเริ่มต้นเรียนปริญญาโท จนวันนึงก็มี “โอกาส” เข้ามา

– โอกาสแรก –

“…นี่ๆ เรียนต่อปริญญาโท ทำไมไม่ลองขอทุนดูล่ะ” หัวหน้างานของผมถามขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง
“ห๊ะ.. ขอทุนได้ด้วยหรือครับ” ผมถามด้วยความตกใจ และหันหน้ากลับไปดูด้วยความหวัง  (เอาวะ ถ้าขอได้คงประหยัดได้ไม่น้อยเลย : คิดในใจ)
“อ๊ะนี่ เอารายละเอียดไปลองอ่านดู” หัวหน้างานของผมส่งรายละเอียดมาให้ดู …

ใช่แล้วครับ .. โอกาสครั้งแรกของผม คือ “ทุนการศึกษา” ที่ทางหน่วยงานราชการเป็นผู้ออกให้ เป็นจำนวนทั้งสิ้น 120,000 บาท “แสนสองเลยเรอะนี่” ผมอุทานในใจ พร้อมกับคำนวณตัวเลขเบ็ดเสร็จ … โอ้ววว เยอะไม่ใช่เล่น…

ดังนั้น “โอกาสแรก” ถูกผมคว้าเอาไว้เรียบร้อยแล้วครับ :)

– โอกาสที่สอง –

“โอกาสไม่ได้มีเพียงหนึ่งครั้งในชีวิต” หลายๆคนว่าเอาไว้แบบนั้น แต่ “โอกาสมักจะเข้ามาในช่วงเวลาที่เราไม่พร้อมเสมอๆ” หลายๆคนก็ว่าเอาไว้เช่นกัน (ตกลงจะเอายังไง – -“)

หลังจากที่ผมเริ่มต้นเรียนปริญญาโทก็ต้องทำการปรับตัวอยู่พักใหญ่ ทั้งเนื้อหาทางด้านวิชาการที่ยากขึ้น และเวลาที่ต้องเสียไปมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันงานก็ยังคงต้องทำเท่าเดิม ดังนั้นแปลว่า “เวลา” ในการใช้ชีวิตของผมย่อมจะต้อง “น้อยลง”

โอกาสครั้งนี้เข้ามาในขณะที่ผมกำลังเขียนเวปไซด์ใหม่อย่างขมักเขม้น ก็พลันได้ยินโปรแกรม Chat อย่าง MSN ก็ดังขึ้นมา “ตะตึ้ง..” “ตะตึ้ง..” คนที่ทักมาก็ไม่ใช่ใครอื่น “มานุด” เพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ผู้ซึ่งเริ่มต้นทำเวปไซด์ขายของออนไลน์ทางอินเตอร์เน็ต

มานุด : เฮ้ย หนอม มึงพอรู้จักใครที่รับทำเกี่ยวกับเวปหรือเปล่า
ผม : ก็พอมีรู้จักบ้างนะ ทำไมหรือ
มานุด : เออเห็นมึงทำๆเกี่ยวกับวงการนี้ กูเลยอยากถามหาคนที่รับทำพวก “โปรโมทเวป” ให้ “ติดอันดับ”ในกูเกิ้ล
ผม : อ้อ หาคนทำ “SEO” อยู่หรอเพื่อน เราพอรู้เรื่องอยู่บ้างนะ มีอะไรก็ถามได้

* SEO  ย่อมาจากคำว่า “Search Engine Optimization” หมายถึง วิธีการที่ทำให้เว็บไซต์ ปรากฏอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดของผลการค้นหาผ่าน Search Engine ต่างๆ เช่น Google Yahoo Bing(MSN) ด้วย Keyword ที่เราต้องการนำเสนอผ่านเว็บไซต์ โดยรักษาให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดเสมอ (ปกติจะพยายามทำให้อยู่ในหน้าแรกของการค้นหา)

(บลาๆๆๆๆ หลังจากคุยเรื่องเกี่ยวกับ SEO ไปสักพัก… )
มานุด : เออ ไม่ค่อยรู้เรื่อง เอาเป็นว่ามึง “รับทำ” ไหมล่ะกูจ้างมึงเอง คิดราคามาเลย
ผม : เฮ้ยจะดีหรอวะ เราไม่เคยรับใครทำเลยนะ ปกติก็ทำแต่เวปของตัวเอง แต่ไม่มั่นใจเลยว่ะ ว่าจะทำได้
มานุด : เอางี้ กูถามหน่อยมึงมีความรู้เรื่องนี้ไหม
ผม : มี
มานุด : แล้วมึงทำเป็นไหม
ผม : เป็น
มานุด : แล้วถ้ากูไปจ้างคนอื่น เค้าจะทำอะไรต่างจากมึงไหม
ผม : โดยหลักการแล้ว ไม่น่าจะแตกต่างนะ อาจจะรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ
มานุด : คำถามสุดท้าย “ถ้าวิธีการเดียวกัน แล้วคนอื่นทำได้ ทำไมมึงจะทำไม่ได้”
ผม : เงียบ.. (ค้างไปประมาณ 2 นาที)

.
.

มานุด : ตกลงจะเอาไงวะ คุณหนอม..
ผม : เอาก็เอาวะ!!!!

และนั่นคือจุดเริ่มต้นของอาชีพใหม่อีกหนึ่งอย่างของผม คือ “การรับจ้างทำ SEO หรือรับโปรโมทเวปไซด์” โดยเริ่มต้นจากงานของท่านมานุดจนติดอันดับเป็นที่เรียบร้อย (ทำได้จริงๆด้วยแฮะ) เมื่องานแรกอยู่ตัวแล้ว ผมก็เริ่มขยายงานออกไปรับลูกค้ารายอื่นๆเพิ่มเติม จนเริ่มต้นหมุนเวียนเงินได้มากขึ้น มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะจ่ายค่าเล่าเรียนในเทอมที่ 2 และเทอมต่อๆไปได้

ฟังดูแล้วเหมือนว่าชีวิตของผมน่าจะดีขึ้นใช่ไหมครับ แต่เอาจริงๆมันไม่ได้ดีขึ้นขนาดนั้นหรอกครับ …
เพราะยังมีอีกปัญหานึงที่ผมยังไม่สามารถจัดการได้ ….

นั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่า … “เวลา”
(โปรดติดตามตอนต่อไป)

error: เว็บไซต์ป้องกันการ copy