เงินน้อยก็รวยได้ ตอนที่ 8 : ชีวิตแค่โดนทำร้าย แต่ที่สุดมันต้องไม่โดน
ความเดิมจาก “ตอนที่ 7” หลังจากที่ล้มเหลวแบบสุดๆกับงาน “Affiliate Marketing” จนตัวผมเองมีสภาพคล้ายๆกับคนที่เป็นแผลเหวอะหวะเหมือนโดนไฟไหม้ น้ำร้อนลวก เป็นหนอง ผิวหนังอักเสบ เป็นหนอง (พอแล้ว!!!!)
เปิดดูสมุดบัญชีเหลือเงินอยู่ประมาณ 2 หมื่นกว่าบาท ดูเสร็จแล้วแทบจะตะโกนร้องแบบพี่จา พนมในเรื่องต้มยำกุ้งว่า “เงินตรู!!! อยู่ไหน” “เงินตรู!!! อยู่ไหน” “เงินตรู!!! อยู่ไหน” “เงินตรู!!! อยู่ไหน” (อ่านซ้ำประมาณ 10 รอบจะได้อารมณ์ยิ่งขึ้นนะครับ)
TwT
– อยู่กับความล้มเหลว –
โดยส่วนตัวแล้ว เมื่อช่วงไหนของชีวิตที่ผมต้องเจอกับความล้มเหลว สิ่งที่ตามมาคือความรู้สึกแสนเศร้าพร้อมกับ “ความหลอน” เหมือนกับมีเสียงกระซิบอยู่ในหัวตลอดเวลาว่า “เมริงนี่แหละ เป็นคนทำร้ายตัวเองชัดๆ” หรือไม่ก็ “บอกกี่ครั้งแล้ว.. ไม่เคยฟังเลย” เพียงแต่ความล้มเหลวครั้งนี้มันมีความ “กลัว” เข้ามาร่วมด้วยเพราะยังตอบตัวเองไม่ได้ว่า “จะเอาเงินที่ไหนมาจ่ายค่าเรียน (ปริญญาโท)”
ในตอนนั้น รู้สึกทรมานมากจนถึงขั้นสะดุ้งตื่นขึ้นมากลางดึก แล้วก็งงๆเบลอๆ คอยถามตัวเองว่า เรื่องที่เกิดขึ้นนี่มันฝันไปหรือเปล่า (วะ) ทำไมชีวิตของเรามันถึงพลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้ เฮ้อออออ (ว่าแล้วก็ล้มตัวนอนต่อ เผื่อว่าจะเป็นแค่ฝัน – -“)
– กำลังใจ –
หลังจากที่ผ่านความล้มเหลวมาได้สักพัก อาการหลอนๆก็ดูเหมือนจะหนักขึ้น จนคนในครอบครัวและคนรอบข้างเริ่มสังเกตว่า ไอ้เจ้าบักหนอมนี่น่าจะมีอาการแปลกๆ (คล้ายๆกับคนที่มีอาการผีเข้า ชอบทำเสียง งืมๆ มึนๆ ล่องลอย ตลอดเวลา – -“) ในที่สุด “แม่” ก็เป็นคนแรกอดรนทนไม่ไหว จึงต้องมาเลียบๆเคียงๆถามดู
แม่ : นี่ๆๆๆ พักนี้แกเป็นอะไร ดูแปลกๆไปนะ
ผม : งืมๆ อ่อ เปล่าแม่ ไม่มีอะไรหรอก เครียดนิดหน่อย
แม่ : สอบติดโทแล้วไม่ใช่หรอ จะะเครียดทำไมอีก (คำถามแรกก็โดนซะแล้ว – -“)
ผม : …. คือ ไม่ ไม่ ไม่มีอะอะอะ ไร …
แม่ : ว่าไง ทำไมเครียดล่ะ บอกแม่มาสิ (เสียงเข้ม Level 1)
ผม : … เอ่อ คือ ว่า …
แม่ : ทำไมเครียด!!!! บอกมา (เสียงเข้ม Level 2)
ผม : เอ่อ….ฟังก่อนแม่ คือ …
แม่ : บอกมาเดี๋ยวนี้!!!!!!! ทำไมเครียด!!!!! (ระดับพลังเสียงสูงสุด Level 99 TwT)
ผม : บอกแล้วๆๆๆๆ (พร้อมกับยกมือกุมหัว ย่อตัวลงต่ำ) เครียดที่ไม่มีเงินเรียนต่อ เอาไปทำ Affiliate หมดแล้ว แง๊…
แม่ : อะไรนะ!!! แกเอาไปเสพอะไร!!! นี่แกติดยาด้วยเรอะ!!!!!
ผม : ไม่ใช่ๆ เอาไปทำธุรกิจ เค้าเรียกว่า Affiliate ….
เมื่อตั้งสติได้ ผมจึงตัดสินใจเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้แม่ฟัง พร้อมกับสรุปที่มาที่ไปว่าทำอะไรมาบ้าง ถึงมีอาการแบบนี้
แม่ : เรื่องแค่นี้ ผ่านไปแล้วก็ให้ผ่านไป แล้วตอนนี้เหลือเงินเท่าไร
ผม : ประมาณ 2-3 หมื่น ไม่น่าจะมากกว่านี้
แม่ : แล้วค่าเรียนปริญญาโทเท่าไร
ผม : เทอมแรกประมาณ 6 หมื่น (มั้ง) จำไม่ได้อ่ะ ราวๆนี้
แม่ : วันหลังมีอะไรก็หัดบอกกันบ้าง จะได้ช่วยเหลือกันได้ ดีนะเสียเงินแค่นี้ ถ้าเป็นหนี้เข้าไปอีก ไม่รู้จะโดนแค่ไหน
หลังจากนั้น ผมก็เห็นแม่เดินไปซุบซิบกับพ่อสักพัก ผมเห็นพ่อพยักหน้าหงึกหงัก แล้วก็ส่ายหน้าไปมาๆ แล้วก็กลับมาพยักหน้าต่อ (อะไรวะเนี่ย – -“) อีก 2-3 ชั่วโมงถัดมา พ่อก็เดินเอาเงินมาให้ผม 60,000 บาท พร้อมกับแม่ที่ทำหน้าอมยิ้มอยูู่ข้างๆ
พ่อ : นี่ค่าเทอมเทอมแรกนะลูก พ่อมีให้เท่านี้แหละ ..
ผม : …เท่านี้ก็พอแล้วพ่อ (ยื่นมือออกไปรับแบบสั่นๆ งงๆ ผสมอารมณ์ซึ้ง)
พ่อ : พ่อช่วยได้แค่เทอมเดียวนะลูก พ่อไม่มีเงินแล้ว
(จริงๆพ่อผมมีเงินเยอะที่สุดในบ้านนะครับ แต่ว่าแกชอบเก็บไว้เอง ฮาา)
ผม : ขอบคุณครับ พ่อ & แม่ (กราบ)
แม้ว่าจะเกิดความผิดพลาดครั้งที่สองในชีวิต ผมก็ได้ “ครอบครัว” นี่แหละครับ ที่คอยช่วยเหลืออยู่เสมอๆ (คิดขึ้นมาทีไรก็รู้สึกแย่ทุกที) อายุอานามก็ไม่ใช่น้อย โตขนาดนี้แล้ว ยังสร้างภาระและปัญหาให้กับครอบครัวไม่รู้จักจบจักสิ้นเสียที เมื่อเกิดความรู้สึกนี้ขึ้นมา น้ำตาลูกผู้ชายก็คล้ายๆจะไหลออกมาจากตา … แต่ดูเหมือนว่าแม่จะอ่านความรู้สึกของผมออก เลยดักคอออกมาก่อนว่า
แม่ : ไม่ต้องคิดมากหรอกลูก ที่ผ่านๆมาพ่อและแม่คอยบอกเสมอให้แกรู้จัก “ประหยุัดและอดออม” เพราะว่าแกจะได้รู้จัก คุณค่าของ “เงิน” แต่ไม่ใช่ว่าครอบครัวเราไม่มีเงินหรอกนะ ดังนั้นถ้าเกิดปัญหาอะไร ก็มาบอกแม่บอกพ่อได้เหมือนเดิม อย่างเรื่องแบบนี้ จริงๆแล้ว ถ้าบอกก่อน อาจจะมีวิธีแก้ไขที่ดีกว่านี้ก็ได้
ผม : รู้แล้ว แต่ว่าหนูเสียดายเงินอ่ะ (นี่แกยังเรียกตัวเองว่าหนูอีกเรอะ – -“)
แม่ : อย่าไปเสียดายกับความผิดพลาดเลย จำไม่ได้เหรอที่แม่เคยบอกตั้งแต่ตอนเด็กๆว่าแกเป็นเด็กที่ “ต้นทุนต่ำ” คิดเสียว่าเอาเงินตอนนั้นมาใช้ตอนนี้ละกันนะ
– เด็กต้นทุนต่ำ –
ขออนุญาตขยายความคำว่าเด็ก “ต้นทุนต่ำ” สักเล็กน้อยนะครับ คำนี้เป็นคำที่แม่ชอบเรียกผมมาตั้งแต่เด็กๆ เนื่องจากหลังจากที่ผมจบชั้นประถมและเข้าเรียนชั้นมัธยมเป็นต้นมานั้น ผมเรียนอยู่ในสถานศึกษาของรัฐบาลจนจบมหาวิทยาลัย ซึ่งถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่ถูกมากเมื่อเปรียบเทียบกับโรงเรียนเอกชนและมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดังต่างๆ เพราะถูกบ่มเพาะให้คิดเสมอว่า ต้อง “ประหยัด” ในวันนี้เพื่อ “อนาคต” (ความหมายข้างต้นที่พูดมานี้ ไม่ได้ต้องการบอกว่าสถานศึกษาที่ไหนดีกว่ายังไงนะครับ เพราะทุกอย่างอยู่ที่ตัว “บุคคล” แค่เปรียบเทียบค่าใช้จ่ายให้ฟังเฉยๆครับ)
โดยเฉพาะในสมัยที่ผมยัง “หัวเกรียน” อยู่นั้น แม่จะเป็นคนคอยปลูกฝังอยู่เสมอๆว่า ถ้าหากวันนี้แกเรียนในโรงเรียนของรัฐที่มี “ค่าใช้จ่าย” น้อยก็เท่ากับว่าแกจะมี “มรดก” เหลือไว้ในอนาคตมากขึ้น ดังนั้นถ้าไม่อยากให้พ่อแม่ต้องเอาเงินในอนาคตของแกมาใช้ จงประหยัดค่าใช้จ่ายพวกนี้ซะ!!!!! (คล้ายๆจะสอน แต่จริงๆคือคำสั่ง – -“)
แหม่ ในตอนนั้นผมก็เป็นเด็กว่าง่ายเอาซะด้วย แต่มันน่าเสียดายตรงที่ไอ้เด็ก “ต้นทุนต่ำ” คนนั้น กลายมาเป็นผู้ใหญ่ “ต้นทุนสูง” น่ะสิ!!!!
– ปลดแอกความรู้สึก –
หลังจากที่รับเงินมาและเอาไปจ่ายค่าเรียนเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมให้สัญญา (อีกครั้ง) กับตัวเองว่า นี่จะต้องเป็น “ครั้งสุดท้าย” ที่จะรบกวนให้พ่อกับแม่มาช่วยเหลือด้านการเงิน
แต่เมื่อสัญญาเสร็จแล้ว “ความเครียด” มันก็เพิ่มขึ้นมาทันทีทันใด เพราะผมคิดๆดูแล้วก็พบว่า ยังเหลือภาระที่ต้องรับผิดชอบต่อจากนั้น คือ “ค่าเทอมในส่วนที่เหลือ” และ “ธุรกิจ Affiliate” (ที่ยังยืนยันว่าจะทำต่อ) เพราะดูแล้วยังไงๆ เงินเดือนข้าราชการคงจะไม่พอกินพอใช้อย่างแน่นอน
ระหว่างๆที่คิดหาทางออกอยุ่นั้น ความรู้สึกเศร้าๆ เพ้อๆที่ยังไม่จางหาย มันยังกลับมาตอกย้ำในความผิดพลาดของเราในอดีตอยู่เรื่อยๆ “เฮ้อออ ทำไมนะ ทำไมเราถึงเสียเงิน 150,000 บาทไปได้ง่ายๆ เรานี้่มันโง่ขนาดนั้นเลยหรือไง”พอคิดแล้วก็เศร้า เศร้าก็ยังคิด ชีวิตก็ยิ่งเศร้า
แต่อยู่ๆมาวันหนึ่ง ผมก็ได้รับคำตอบที่ทำให้หายเครียดระหว่างที่นั่งกินข้าวกับผู้หญิงคนหนึ่ง สมมุติว่าชื่อว่า “คุณแฟน” ละกัน (ฮิ้ววววว)
คุณแฟน : นี่ชั้นถามหน่อย เมื่อไรเธอจะเลิกบ้าแบบนี้สักที นั่งเหม่อลอยเหมือนคนไร้สติมาหลายอาทิตย์แล้วนะ
ผม : ไม่ได้บ้า คือเธอไม่เข้าใจเราหรอก แมร่ง เสียเงินเป็นแสนนะ รู้สึกโง่อ่ะ ยังไงก็่รู้สึกโง่ คนโง่อย่างเรานี่มันโง่จริงๆ
คุณแฟน : เอ้า … เอาแบบนี้ละกัน ชั้นขอถามเธอหน่อย เวลาเธอไปกินข้าวนอกบ้าน กินข้าวสังสรรค์กับเพื่อน เธอจ่ายเงินไปมื้อละประมาณเท่าไร
ผม : อ่า ก็ราวๆ 500 – 1,000 บาท
คุณแฟน : แหม่ ไม่เห็นจะยากเลย คิดสิว่า 1 ปีที่ผ่านไปเราเสียเงินไปกับการกินข้าวนอกบ้านทุกวัน สองร้อยกว่าๆมื้อ นี่แหละ เงินแสนที่เสียไป / จบ
ผม : อาาาห์ (เดี๋ยวนะ เรื่องมันจบง่ายๆแบบนี้เลยเรอะ!!) แล้วยังไงต่อล่ะ แต่ทำธุรกิจไม่เหมือนกินข้าวนะ อันนั้นมันค่อยๆเสียทีละนิดละหน่อย แต่อันนี้เราเสียไปทีเดียว เกือบจะหมดตัวเพราะธุรกิจไปเลยนะเนี่ยยยยย พูดแล้วก็อยากร้องตะโกนออกมา “เงินตรู….อุ๊บ”
คุณแฟน : (รีบเอามือมาปิดปาก) ฟัง!!! แต่เงินก้อนนี้ที่เธอเสียไป อย่างน้อยก็ได้ “ความรู้” กลับมานะ เอาไปกินข้าวมันก็ได้แค่อิ่ม แม้ตอนนี้เธอจะเสียเงินไปมากแค่ไหนก็ตาม แต่เธอไม่ได้เสีย “ความรู้” ในการทำธุรกิจไปด้วยสักหน่อย
ผม : (ทำท่าตกใจ ยกมือปิดปาก) อาหหห์ ใช่แล้วสินะ เรายังมีความรู้!!! ที่ไม่ได้เสียไปพร้อมๆกับเงินหลักแสน!!! เยสสสสส (น่าจะคิดได้ตั้งนานแล้ว – -“)
– ความรู้ สำคัญกว่า ความรวย –
หลายๆคนมักจะตั้งคำถามกับชีวิตว่า เมื่อไรจะมีเงินเยอะๆสักที เราจะได้เป็นอิสรภาพทางการเงิน แต่จริงๆแล้ว ไม่จำเป็นหรอกครับที่เราต้องมีเงินเยอะๆ เสมอไป เพราะเงินน้อยก็ทำให้เรามีอิสรภาพได้เช่นกันครับ ถ้าอยากรู้ว่าทำยังไงลองหาหนังสือ “เงินน้อยก็รวยได้” ที่เพิ่งวางแผนไปไม่กี่วันนี้มาอ่านดูสิครับ เจ้าของเดียวกันกับ “ตัดภาษี มีเงินออม TaxBugnoms ช่วยได้” (Tie-in โฆษณาซะเลย ฮาา)
หลังจากที่ผ่านประสบการณ์ล้มลุกคลุกคลานมาหลายรอบ ผมจะกลับไปเริ่มต้นตั้งคำถามกับตัวเองว่า ความผิดพลาดที่ผ่านมานั้น ทำให้เราได้รับ “ความรู้” หรือได้อะไรที่จะ “สร้างสรรค์” ในอนาคตต่อไปหรือเปล่า ถ้าได้สิ่งเหล่านั้นมาบ้างไม่มากก็น้อย จงอย่าไปเสียดายมันเลย (แต่ต้องอย่าทำผิดเรื่อยๆ อันนั้นเรียก “ง่าว” นะครับ แฮร่)
และจากประสบการณ์ที่ล้มเหลวเพิ่งเล่าจบไป ทำให้ผมต้องมีความ “รอบคอบ” มากกว่าเดิมในการตัดสินใจ โดยเริ่มต้นใหม่จากศูนย์ และนำรายได้ที่ยังได้รับจากการทำธุรกิจ Affiliate ในตอนแรกมาค่อยๆ ทยอยลงทุน เก็บออมไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับเริ่มต้นเรียนปริญญาโท จนวันนึงก็มี “โอกาส” เข้ามา
– โอกาสแรก –
“…นี่ๆ เรียนต่อปริญญาโท ทำไมไม่ลองขอทุนดูล่ะ” หัวหน้างานของผมถามขึ้นมาในเช้าวันหนึ่ง
“ห๊ะ.. ขอทุนได้ด้วยหรือครับ” ผมถามด้วยความตกใจ และหันหน้ากลับไปดูด้วยความหวัง (เอาวะ ถ้าขอได้คงประหยัดได้ไม่น้อยเลย : คิดในใจ)
“อ๊ะนี่ เอารายละเอียดไปลองอ่านดู” หัวหน้างานของผมส่งรายละเอียดมาให้ดู …
ใช่แล้วครับ .. โอกาสครั้งแรกของผม คือ “ทุนการศึกษา” ที่ทางหน่วยงานราชการเป็นผู้ออกให้ เป็นจำนวนทั้งสิ้น 120,000 บาท “แสนสองเลยเรอะนี่” ผมอุทานในใจ พร้อมกับคำนวณตัวเลขเบ็ดเสร็จ … โอ้ววว เยอะไม่ใช่เล่น…
ดังนั้น “โอกาสแรก” ถูกผมคว้าเอาไว้เรียบร้อยแล้วครับ :)
– โอกาสที่สอง –
“โอกาสไม่ได้มีเพียงหนึ่งครั้งในชีวิต” หลายๆคนว่าเอาไว้แบบนั้น แต่ “โอกาสมักจะเข้ามาในช่วงเวลาที่เราไม่พร้อมเสมอๆ” หลายๆคนก็ว่าเอาไว้เช่นกัน (ตกลงจะเอายังไง – -“)
หลังจากที่ผมเริ่มต้นเรียนปริญญาโทก็ต้องทำการปรับตัวอยู่พักใหญ่ ทั้งเนื้อหาทางด้านวิชาการที่ยากขึ้น และเวลาที่ต้องเสียไปมากขึ้น แต่ในขณะเดียวกันงานก็ยังคงต้องทำเท่าเดิม ดังนั้นแปลว่า “เวลา” ในการใช้ชีวิตของผมย่อมจะต้อง “น้อยลง”
โอกาสครั้งนี้เข้ามาในขณะที่ผมกำลังเขียนเวปไซด์ใหม่อย่างขมักเขม้น ก็พลันได้ยินโปรแกรม Chat อย่าง MSN ก็ดังขึ้นมา “ตะตึ้ง..” “ตะตึ้ง..” คนที่ทักมาก็ไม่ใช่ใครอื่น “มานุด” เพื่อนสนิทสมัยเรียนมหาวิทยาลัย ผู้ซึ่งเริ่มต้นทำเวปไซด์ขายของออนไลน์ทางอินเตอร์เน็ต
มานุด : เฮ้ย หนอม มึงพอรู้จักใครที่รับทำเกี่ยวกับเวปหรือเปล่า
ผม : ก็พอมีรู้จักบ้างนะ ทำไมหรือ
มานุด : เออเห็นมึงทำๆเกี่ยวกับวงการนี้ กูเลยอยากถามหาคนที่รับทำพวก “โปรโมทเวป” ให้ “ติดอันดับ”ในกูเกิ้ล
ผม : อ้อ หาคนทำ “SEO” อยู่หรอเพื่อน เราพอรู้เรื่องอยู่บ้างนะ มีอะไรก็ถามได้
* SEO ย่อมาจากคำว่า “Search Engine Optimization” หมายถึง วิธีการที่ทำให้เว็บไซต์ ปรากฏอยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดของผลการค้นหาผ่าน Search Engine ต่างๆ เช่น Google Yahoo Bing(MSN) ด้วย Keyword ที่เราต้องการนำเสนอผ่านเว็บไซต์ โดยรักษาให้อยู่ในตำแหน่งที่ดีที่สุดเสมอ (ปกติจะพยายามทำให้อยู่ในหน้าแรกของการค้นหา)
(บลาๆๆๆๆ หลังจากคุยเรื่องเกี่ยวกับ SEO ไปสักพัก… )
มานุด : เออ ไม่ค่อยรู้เรื่อง เอาเป็นว่ามึง “รับทำ” ไหมล่ะกูจ้างมึงเอง คิดราคามาเลย
ผม : เฮ้ยจะดีหรอวะ เราไม่เคยรับใครทำเลยนะ ปกติก็ทำแต่เวปของตัวเอง แต่ไม่มั่นใจเลยว่ะ ว่าจะทำได้
มานุด : เอางี้ กูถามหน่อยมึงมีความรู้เรื่องนี้ไหม
ผม : มี
มานุด : แล้วมึงทำเป็นไหม
ผม : เป็น
มานุด : แล้วถ้ากูไปจ้างคนอื่น เค้าจะทำอะไรต่างจากมึงไหม
ผม : โดยหลักการแล้ว ไม่น่าจะแตกต่างนะ อาจจะรายละเอียดเล็กๆน้อยๆ
มานุด : คำถามสุดท้าย “ถ้าวิธีการเดียวกัน แล้วคนอื่นทำได้ ทำไมมึงจะทำไม่ได้”
ผม : เงียบ.. (ค้างไปประมาณ 2 นาที)
.
.
มานุด : ตกลงจะเอาไงวะ คุณหนอม..
ผม : เอาก็เอาวะ!!!!
และนั่นคือจุดเริ่มต้นของอาชีพใหม่อีกหนึ่งอย่างของผม คือ “การรับจ้างทำ SEO หรือรับโปรโมทเวปไซด์” โดยเริ่มต้นจากงานของท่านมานุดจนติดอันดับเป็นที่เรียบร้อย (ทำได้จริงๆด้วยแฮะ) เมื่องานแรกอยู่ตัวแล้ว ผมก็เริ่มขยายงานออกไปรับลูกค้ารายอื่นๆเพิ่มเติม จนเริ่มต้นหมุนเวียนเงินได้มากขึ้น มีสภาพคล่องเพียงพอที่จะจ่ายค่าเล่าเรียนในเทอมที่ 2 และเทอมต่อๆไปได้
ฟังดูแล้วเหมือนว่าชีวิตของผมน่าจะดีขึ้นใช่ไหมครับ แต่เอาจริงๆมันไม่ได้ดีขึ้นขนาดนั้นหรอกครับ …
เพราะยังมีอีกปัญหานึงที่ผมยังไม่สามารถจัดการได้ ….
นั่นก็คือสิ่งที่เรียกว่า … “เวลา”
(โปรดติดตามตอนต่อไป)