fbpx

เงินทองก่อนแต่ง ตอนที่ 0 : เมื่อไรจะแต่งงานแว้


กราบสวัสดีมิตรรักแฟนบล็อกและแฟนเพจทุกท่านครับ (-/\-)

ก่อนอื่นผมต้องขอสารภาพตามตรงก่อนเลยครับว่า ในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา “บล็อกภาษีข้างถนน” ได้เงียบหายไป ไม่ค่อยมีบทความใหม่ Update มากนัก จนมีแฟนเพจหลายคนสอบถามมาทางหลังไมค์ว่าเกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า …

สาเหตุจริงๆก็ไม่มีอะไรมากหรอกครับ ที่ห่างหายไปสักพัก เนื่องจากตัวผมเองนั้นติดภารกิจที่สำคัญมากๆ นั่นก็คือ ภารกิจหาภรรยา หรือ จัดงานแต่งงานนั่นเองคร้าบบบบ เลยไม่มีเวลาว่างมาเขียนบล็อก (ทั้งๆที่อยากจะเขียนใจจะขาด) พูดแล้วก็ยังเพลียไม่หายเลย แหะๆ

เมื่อไม่ได้เขียนเรื่องราวลงบล็อกมาสักพัก ตัวผมเลยเกิดอาการเก็บกด มันคันๆ มันอยากจะระบาย อึดอัด ท้องผูก นั่งนานไปหน่อย (ไม่ใช่โฆษณายาตรามังกร!!!) จนกระสันอยากจะเขียนซีรีย์บทความเรื่องยาวสักเรื่อง เอ…คิดไปคิดมาถ้าเขียนเรื่องประสบการณ์ทางการเงินกับการแต่งงานจะดีไหมหว่า…

พอคิดได้ไอเดียใหม่ๆ ผมเลยตัดสินใจไปขอคำปรึกษาจาก บก. คู่ใจ คุณต่อทอง ทองหล่อแห่งสำนักพิมพ์ ThinkBeyond ให้ช่วยแนะนำและขัดเกลาเนื้อหาที่อยากจะนำเสนอ จนกลายมาเป็นบทความชุดนี้ที่เพื่อนๆทุกท่านกำลังจะได้อ่านต่อไปนี้แหละครับ

เอาล่ะฮะ … หลังจากเกริ่นมาตั้งนาน (ออกตัวล้อฟรีมาจนยางไหม้) ขอเชิญทุกท่านพบกับบทความซีรีย์เรื่องใหม่ของนาย @TaxBugnoms ที่นำความจริงเรื่องการแต่งงานมาตีแผ่ให้โลกรู้กันไปเลยว่า เจ้าของบล็อกนี้มีเมียเป็นตัวเป็นตนแล้วจ้า (เย้ยย.. ไม่ช่ายยยยละ) แต่เป็นความจริงเรื่องการวางแผนการเงินสำหรับคู่รักที่กำลังจะแต่งงานกันดีกว่าครับ ไอ้ที่หลายๆคนบอกว่าต้องผ่าฟัน เอ้ย ฝ่าฝัน เอ้ย ฝ่าฟัน เอ้ย (ถูกแล้ว!!!) จนกว่าจะได้แต่งงานกันนี้มีอะไรบ้าง ขออนุญาต (แอบ) เอามาเล่าให้ฟังอย่างหมดเปลือกกันไปเลยยยยยยยย

ป.ล. ส่วนบทความซีรีย์ตอนเก่าๆ เรื่อง รวยสองเด้งงงงง ด้วยกองทุนรวม (ของแท้ต้องมี ง งู 5 ตัว) ยังไม่เลิกเขียนนะคร้าบบบ แต่จะใช้วิธีเขียนเนื้อหาสลับกับบทความชุดนี้ไปเรื่อยๆ ยังไงฝากคอยติดตามด้วยนะคร้าบบบบบ

อ้อ .. ผมลืมบอกไปว่า บทความชุดมีชื่อสั้นๆว่า “เงินทองก่อนแต่ง” แต่ในตอนแรกของบทความชุดนี้ เรายังไม่พูดถึงเรื่องของเงินๆทองๆ ให้ปวดหัว ปวดตัว และปวดใจ แต่เราจะมาพูดคุยเรื่องที่ปวดหัวกว่านั้นว่า ทำไมคนเราถึงต้องแต่งงานกัน (นั่นนะสิ!!!)

– ความรัก และ ความพร้อม –

อย่างที่ใครหลายคนบอกไว้ว่า การแต่งงานจะเริ่มต้นขึ้นได้ เมื่อความรักของคนทั้งสองคนสุกงอมและมีความพร้อมลงตัว ฝ่ายชายและฝ่ายหญิงก็จะต้องตกลงปลงใจที่จะเข้าสู่ประตูวิวาห์ เอ้า …. ไปเถิดทั้งคู่ ไปสู่ประตูสวรรค์ น้ำสังข์จะหลั่งลงพลัน ด้วยมือพี่หลั่งรดให้ ….

ประเด็นที่ความรักสุกงอมนั้นมันไม่ใช่เรื่องยาก เพราะบางคนก็รักกันจนสุกงอมกันเกือบจะเน่าคาต้นอยู่แล้ว (จริงไหมคัรบ แฮร่) แต่สิ่งสำคัญคือประเด็นที่พูดถึงเจ้า “ความพร้อม” นี่น่ะสิ เมื่อไรจะพร้อมกันแน่ บางคนถึงกับบอกว่า รักเธอเริ่มจากร้อยนับวันนานไปยิ่งน้อยลง … หรือบางคนอาจจะบอกว่า ถ้าเธอพร้อม ชั้นก็พร้อมไปด้วยกัลลลลลลลล เอ๊ะ!! ยังไงกันแน่ล่ะ

อ่ะแฮ่ม… ไหนๆเมื่อพูดถึงเรื่อง “ความพร้อม” กันไปแล้ว ผมขออนุญาตนำประสบการณ์ของคนอื่น (มาแอบเม้าท์) ให้ฟังสักเล็กน้อยนะครับ ว่าคนส่วนใหญ๋นั้นเค้ามีปัญหาอะไรกันบ้าง เริ่มต้นจากปัญหาแรกกันก่อนเลย

ปัญหาแรก : ไม่มีเงินอ่ะจ้าาา

คำว่าไม่มีเงินนี่ถือได้ว่าเป็นปัญหาโลกแตกสำหรับคู่รักที่กำลังจะแต่งงานทุกคู่ครับ เพราะการเริ่มต้นในการแต่งงานนั้น นอกจาก “ใจ” แล้ว “เงิน” ก็มีความสำคัญไม่น้อยไปกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการจัดงานแต่ง ค่าใช้จ่ายต่างๆที่จะตามมา ถึงแม้ว่าจะมีคำพูดของคนหลายๆคนบอกอยู่เสมอว่า ถึงไม่มีเงินก็สามารถจะแต่งงานกันได้ อย่าทำให้เรื่องเล็กเป็นเรื่องใหญ่ ผูกข้อไม้ข้อมือตามธรรมเนียมก็พอ แต่ความเป็นจริงแล้ว ลองดูคนรอบๆตัวคุณสิครับว่า มันทำได้ง่ายๆจริงหรือเปล่า จะงานเล็กหรือใหญ่ ยังไง้ ยังไงก็ต้องจัดกันบ้างล่ะน่า … (ถ้าหากใครทำได้จริงๆ ผมถือว่าเป็นเรื่องโชคดีสำหรับคนทั้งคู่นะครับ)

อ้อ สำหรับเรื่องนี้เราจะคุยกันในส่วนของการวางแผนการเงินสำหรับงานแต่งงานในตอนต่อๆไปนะครับ เพราะให้พูดตอนนี้ไป ดูท่าจะยาวและไม่จบเอาง่ายๆอย่างแน่นอน

ปัญหาสอง : “เค้าไม่ขอสักทีง่ะ” หรือไม่ก็ “ไม่กล้าขอ/กลัวขอแล้วเค้าไม่แต่ง”

ประเด็นแรก “เค้าไม่ขอสักที” จากการสอบถามเพื่อนๆพี่น้องและผลการวิจัยส่วนตัว (ไม่สามารถอ้างอิงได้นะครับ แฮร่) ข้อนี้มักจะเป็นสิ่งที่ผู้หญิงส่วนใหญ่พูดนะครับว่า ทำไมฝ่ายชายไม่มาขอเราสักทีน้า ไอ้ครั้นจะให้ถามว่าเมื่อไรจะขอชั้นเลย ตรูอยากแต่งงานจะแย่แล้ว แก่ไปกว่านี้มีลูกลำบากนะ แหม่ … ก็คงแลดูน่าเกลียดเกินไป ใช่ไหมครับ

ดังนั้นคำแนะนำสำหรับกรณีนี้ คือ เราต้องใช้วิธีกดดันแบบกลายๆ โดยเริ่มต้นจากแผนการขั้นต้น เช่น พาไปงานแต่งงานของเพื่อนบ่อยๆ พร้อมกับใช้วิธีเลียบๆเคียงว่า เค้าว่าน่าจะมีวันของเราแบบนี้บ้างนะเธอว์ บลาๆๆ พอพูดแบบนี้แล้ว ผมคิดว่าฝ่ายชายก็เริ่มจะรู้ตัวบ้างแล้วล่ะครับ

แต่ถ้าวิธีแรกยังไม่ได้ผล หรือฝ่ายชายยังคงตีมึนต่อไป ผมขอแนะนำให้ใช้วิธีที่สอง คือ ลองเปรยๆให้ฟังทำนองว่า เอ๊ะ.. ตะเอง วันก่อนหม่อมย่าบอกว่าอยากอุ้มหลานจังเลย หรือไม่ก็ คุณพ่อคุณแม่เค้าถามว่าเมื่อไรจะไปดูฤกษ์แต่งงานสักที (อันนี้ออกแนวมัดมือชกไปหน่อย อิอิ) ถ้าถึงขนาดนี้ฝ่ายชายยังไม่รู้ตัวอีก ผมว่างานนี้ตัวใครตัวมันดีกว่านะคร้าบบบบ  – -”

หรือถ้าคุณอยากรู้ว่าฝ่ายชายจริงจังกับคุณหรือไม่ ให้สังเกตง่ายๆว่า ถ้าคบกันมาได้สักระยะหนึ่ง แล้วฝ่ายชายยังไม่พาเข้าบ้านไปรู้จักครอบครัวแล้วล่ะก็ ผมว่าทำใจไว้สักหน่อยนะครับว่า เราอาจจะไม่ใช่ตัวจริง แต่ถ้าพาไปเจอครอบครัวแล้วปรากฎว่ามี ม สระเอีย เมีย แล้วละก็ อันนี้ก็บอกลากันได้เลยครับ (แหะๆ เอาเรื่องจริงมาล้อเล่นอีกแล้วเรา)

ถ้าสองวิธีข้างต้นใช้ไปแล้ว ฝ่ายชายยังคงมีสถานะคล้ายสัญญานโทรศัพท์ประมาณว่า “หมายเลขที่ท่านเรียก ไม่สามารถติดต่อได้ในขณะนี้” หรือยังคงตีมึนอยู่เหมือนเดิมล่ะก็ แนะนำให้พิจารณาต่อไปอีก 2 ข้อครับ คือ หาแฟนใหม่ หรือไม่ก็ทำใจซะว่าชาตินี้อาจจะไม่ได้แต่งงาน (เฮ้อออ)

ทีนี้เรามาดูปัญหาของฝ่ายชายกันบ้าง ในประเด็นที่สอง คือ “ไม่กล้าขอ/กลัวขอแล้วเค้าไม่แต่ง” เพราะจริงๆผมเชื่อนะครับว่า คงมีผู้ชายหลายๆคนที่อยากจะขอแต่งงานกับแฟนสาว แต่ว่ากลัวว่าจะไม่ได้รับการตอบรับที่ดี (จะว่าเข้าข้างก็ยอม 555) แหม่ ก็สมัยนี้มาตรฐานในการขอแต่งงานมันสูงขึ้นเรื่อยๆนะสิครับ ไม่ว่าจะเป็นบอกรักและขอแต่งงานผ่าน BillBoard พาไปเที่ยวเมืองนอกพร้อมเซอร์ไพรส์ด้วยแหวนแต่งงาน ตะโกนบอกรักกลางสี่แยก รวมถึงวิธีขอแต่งงาน เซอร์ไพรส์่ต่างๆที่ต้องอุทานว่า แหม่ คิดได้ไง (วะ) จนฝ่ายสาวปลื้มใจจนน้ำลาย เอ้ย น้ำตาไหล ถ้าไม่เชื่อ ลองดูคลิปวิดีโอต่อไปนี้ดูสิครับ

อันนี้บอกกันตรงๆเลยว่า เพื่อนผมบางคนดูจบแล้ว ถึงกับพูดออกมาเลยครับ “เฮ้อ ถ้ามันขอยากแบบนี้ กรูไม่มีเมียคงจะดีเสียกว่า” (พูดแล้วก็เช็ดน้ำตาที่ไหลอาบแก้มไปด้วยนะครับ) แหม่ ผมก็แอบเห็นด้วยเล็กๆเหมือนกันนะครับ (อิอิ)

แต่สำหรับตัวผมเอง จะเรียกว่าโชคดีก็ได้ครับ ที่ไม่มีปัญหาเรื่องนี้เพราะว่าคุณแฟน (ที่ตอนนี้กลายเป็นศรีภรรยาไปแล้ว) ไม่ได้เรียกร้องอะไรมากมาย แต่แหม่ .. บางทีก็ (แอบ) ละอายใจนะครับที่เราไม่สามารถทำแบบนี้ให้คุณแฟนได้เหมือนกัน (พูดแล้วจะงอนไหมเนี่ย 555)

– การขอแต่งงาน จำเป็นไหม –

มีหลายคนตั้งคำถามนะครับว่า “การขอแต่งงานจำเป็นกับชีวิตรักไหม” ในความเห็นส่วนตัวของผมนะครับ (อาจจะไม่โดนใจใครต้องขออภัยไว้ด้วยก้าบบบ) ผมมองว่าขั้นตอนในการขอแต่งงาน “อาจจะ” มีความจำเป็นสำหรับคู่รักบางคู่ เพราะว่าส่วนลึกในใจของทุกคนล้วนอยากจะให้คนพิเศษของเราทำอะไรให้เราในโอกาสที่เป็นพิเศษแบบนี้เหมือนกัน

แต่ถ้ามองอีกด้านในโลกแห่งความจริง การแต่งงานก็ไม่ได้เป็นเครื่องพิสูจน์ที่จะบอกว่า ชีวิตรักของเราได้จะจบบริบูรณ์และสวยงามเหมือนในละครก่อนข่าวและหลังข่าว ที่พระเอกกับนางเอกยืนกอดกันอยู่หน้าบ้านพักตากอากาศริมทะเลหรือภูเขา กล้องค่อยๆซูมออก แล้วขึ้นตัวอักษรว่า สวัสดี แต่มันเป็นการเริ่มต้นของชีวิตคู่ที่แสนจะวุ่นวายที่จะต้องตามมา ไม่ว่าจะเป็นการปรับตัวที่ต้องใช้ชีวิตร่วมกัน ร่วมทุกข์ ร่วมสุข มีปัญหา แก้ไขปัญหาสารพัดสารเพอีกมากมาย ฯลฯ

หากเราทุกคนมองว่า ชีวิตนั้นเป็นเรื่องง่ายๆ ไม่ไปยึดติดอะไรมาก การขอแต่งงานนั้นก็คงเป็นเรื่องง่ายๆ เช่นเดียวกันกับการใช้ชีวิต อย่าให้มันมากไปจนเกินพอดี หรือน้อยไปจนด้านชา ส่วนสำหรับคู่ไหนจะมากไปหรือน้อยไปน้ั้น คงต้องหาคำตอบกันเองครับ เพราะความต้องการของแต่ละคนไม่เหมือนกัน บางคนชอบหวานจนน้ำตาลเรียกพี่ ส่วนบางคนชอบคุยกันดีๆแบบเพื่อน อันนี้ก็สุดแท้แต่ใจใครใจมันแล้วล่ะคร้าบบบบ

ว่าแต่ว่า มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ไม่ง่ายอย่างแน่นอน นั่นคือเรื่องของ “การเงิน” ที่คนสองคนควรช่วยกันบริหารจัดการร่วมกัน เพราะในการจัดงานแต่งงานงานหนึ่งนั้น มีเรื่องราวและรายละเอียดอีกมากมายที่หลายๆคนยังไม่รู้ ส่วนคนที่รู้แล้วก็คงจะกลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ (แหม่ ใครอยากจะแต่งงานกันหลายๆรอบล่ะครับ ปัดโธ่วววว)

เอาล่ะฮะ … เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว หากเพื่อนๆ อยากรู้ว่า “การเงิน” สำหรับ “คู่รัก” มันยากตรงไหนกันแว้ ….
รบกวนขอคนละ 1 Like & Share ให้กับบทความนี้เพื่อเป็นกำลังใจสักครั้งนะครับ (ถ้ากดเรียบร้อยแล้ว ค่อยๆเลื่อนไปดูข้างล่างครับ)

.
.
.
.
.
.
.
.
.
.

ถ้าอยากรู้ว่าสำคัญแค่ไหน ….
อดใจรอติดตามต่อไปในตอนหน้านะคร้าบบบบบบบบบบบบ :)

error: เว็บไซต์ป้องกันการ copy