[เกรียน] บันได 5 ขั้นสู่ความล้มเหลวในการลงทุน ตอนที่ 3
ผ่านมากันสองขั้นกับบันไดสู่ความล้มเหลวในการลงทุน ตั้งแต่ “อยากรวยแต่ไม่อยากทำงาน” ตามมาด้วย “กล้าหาญอย่างบรรลัย” ก็ถือว่าเราผ่านมาได้เกือบครึ่งทางแล้วกับหนทางแห่งความวินาศสันตะโร คราวนี้เราก็มาถึงบันไดขั้นต่อไปที่มีชื่อว่า “ไม่ใส่ใจหาความรู้”
บันไดขั้นที่สาม “ไม่ใส่ใจหาความรู้”
สำหรับบันไดขั้นนี้ จะเริ่มต้นด้วยการ “อยากรู้อยากเห็น” โดยเราจะต้องมีความสงสัยใฝ่รู้ในทุกๆเรื่องที่เราอยากรู้ แม้แต่บางเรื่องที่บอกอยู่โทนโท่แล้ว เราก็ยังต้องสงสัยนะครับ ดังเช่นตัวอย่างนี้นะครับ ..
(ที่มาของภาพ : ได้แต่รอให้คนแบบเธอสูญพันธุ์ /Fail.in.th)
ใครจะหาว่าเราเป็นคนประเภท “ยาวไปไม่อ่าน” หรือ “เกิน 7 บรรทัดไม่อ่าน” ก็อย่าไปใส่ใจให้เสียเวลาครับ แหม่.. วันๆเรานั่งอ่านเฟสบุกเรื่องของชาวบ้านชาวช่องตั้งเยอะแยะ ประมาณคร่าวๆน่าจะไม่ต่ำกว่าสามหน้ากระดาษ A4 แถมยังไม่รวมข่าวซุบซิบดารา การเมือง ฯลฯ อีกเพียบในอินเตอร์เน็ต (แต่อย่าถามว่าจับใจความได้ไหมนะ มันคนละเรื่องกัน!!! รู้จักแยกแยะหน่อยนะพี่น้องง!!)
ถ้าให้ยกตัวอย่างกรณี “ไม่ใส่ใจหาความรู้” สำหรับเรื่องของการลงทุนแล้วล่ะก็ ลองมาดูตัวอย่างนี้กันครับ …
สมมุติว่าเราได้รับเงินมรดกจากเจ้าคุณปู่ว์มาก้อนหนึ่ง (มรดกอะไรวะเป็นก้อนๆ – -“) แต่ไม่รู้ว่าจะทำอะไร หรือบริหารยังไงดี ให้เริ่มต้นจากการหา “ผู้เชี่ยวชาญต่างๆ” เพื่อถามว่า “เงินที่ได้มาเราต้องทำอะไรยังไงดีน้อออออ” อย่าคิดที่จะพยายามหาข้อมูลด้วยตัวเองนะครับ เช่นซื้อหนังสือมาอ่าน หรือค้นหาจากแหล่งข้อมูลต่างๆ เพราะมันจะทำให้เราเก่งขึ้น และมีข้อมูลมากขึ้น ถ้าจะล้มเหลวในชีวิตต้องอย่ามาเสียเวลากับเรื่องพวกนี้ครับ อยากรู้ก็ต้องถามอย่างเดียว หลับหูหลับตาถามเข้าไป ถามซ้ำๆ ถามงงๆ ถามตลอดเวลา ….
อ้อ … ขอเตือนนะครับว่าอย่าได้ไปลองใช้ Google อย่างเด็ดขาดเลยนะครับ เพราะมันค้นหาอะไรก็เจอได้ง่ายๆ เดี๋ยวมันจะยากเกินไปสำหรับคนที่ต้องการความล้มเหลวอย่างเราๆครับ การค้นหาเองเป็นอะไรที่วุ่นวายและเสียเวลา (อันนี้ท่องเอาไว้ในใจเลยนะครับ) คติประจำใจของเราคือการถามเข้าไปครับ ถามซ้ำๆย้ำๆ เรื่องเดิม ถามบ่อยๆ ถามให้มากที่สุด ยิ่งไม่เข้าใจอะไรก็ถามเข้าไปเซ่ เดี๋ยวก็มีคนบอกเราเองแหละ ไม่ต้องเกรงใจนะครับว่าเค้าจะรำคาญ ถ้าไปเจอคนที่รำคาญหรือไม่อยากตอบ ให้พูด (พิมพ์) ต่อว่าไปเลยครับ “แหมมมมม แค่นี้ก็ไม่รู้จักมีน้ำใจให้คนอื่น” หรือไม่ก็ “อะไรฟระ !!! แค่นี้ก็ถามไม่ได้ คนไทยหรือเปล่า”
“ตรูเชื่อไว้ก่อน”
แต่ถ้าหากดันโชคดีไปเจอคนใจดีช่วยตอบให้ ก็ให้ฉวยโอกาสนี้ ถามต่อ ถามจนเราได้รับคำตอบที่พอใจแล้ว หลังจากนั้น เราต้อง “เชื่อ” โดยสุจริตใจทันทีครับ ไม่ต้องสนใจว่าไอ้ผู้รู้ หรือ รูกู เอ้ย กูรู้ ท่านนั้นเค้าเป็นใครหนอ เค้ามาจากไหน บอกเราเพราะอะไรๆๆๆ เอาเป็นว่าโลกนี้สวยงาม เค้าคงไม่หลอกเราให้เสียใจ เสียตัว เสียเงินไปฟรีๆ หรอกน่า!!! เพราะคนทุกคนล้วนแล้วแต่เป็นคนดีทำเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษยชาติ (แหม่ … โลกสวยสุดๆไปเลยแจ้…)
ลองนึกถึงบรรดาผู้ที่มีความรู้ ให้ความกรุณามาเปิดคอร์สสอนต่างๆสิ แม้ราคาจะแพงหูฉี่ ไม่สมเหตุสมผล เรียนแล้วก็ไม่ได้อะไรเพิ่มขึ้นมา เค้าก็ไม่ได้หวังจะเอาเงินจากเรานะ เพราะเค้าต้องใช้เวลาอุตสาหะในการคิดค้นหลักสูตร เงินที่เค้าได้ไปก็เอาไปเลี้ยงพ่อแม่ เป็นคนดี ทำบุญให้คนด้อยโอกาส ถวายสังฆทานแก่พระสงฆ์ ฯลฯ
หา… อะไรนะ!!!! เค้าเอาเงินค่าคอร์สที่เปิดสอนไปเที่ยวรอบโลกเลยหรอ ไปซื้อรถใหม่ หรือหลอกให้เราซื้อหุ้นตัวที่เค้าปั่นอยู่ บ้า!!!!! คงไม่มีเรื่องแบบนั้นหรอก เค้าเป็นคนดีจะตายอย่ามาว่าเค้านะ บอกตรงๆนะครับ ขอร้องทำให้ได้อย่าเค้าก่อนเหอะแล้วค่อยมาพูด คนพูดพวกนี้น่าเบื่อจริงๆเลย ไม่รู้จักแยกแยะว่าอะไรถูกหรือผิด (ว่าแล้วก็หลับหูหลับตาชาบูต่อไป – -“)
ยิ่งถ้าหากเราโชคดีได้ยินพวกที่มี “ข่าววงใน” ทั้งหลาย หรือนักวิแคะแกะเการาคาเป้าหมายต่างๆ หรือเพื่อนผู้หวังดีที่อยู่ๆก็มาแนะนำวิธีการลงทุนให้เรา อันนี้เค้าคงอยากบอกเราด้วยความบริสุทธิ์ใจเหมือนกัน แหม ถ้าเราได้สิ่งดีๆ ความรู้ดีๆมาเราก็ต้องแบ่งปัน เรื่องอะไรจะเก็บไว้หากินคนเดียวให้รวยคนเดียวล่ะ เอามาแบ่งดีกว่าเนอะ จริงมะๆ ใครๆเค้าก็คิดแบบนั้นกันทั้งนั้นแหละ!!!! (แหวะ)
“นอนคิดไปเอง”
พลังของการเชื่อคนง่ายหรือ “ตรูเชื่อไว้ก่อน” นี้จะทรงพลังมากยิ่งขึ้น เมื่อได้รับอานิสงค์เพิ่มจากการ “คิดไปเอง” เข้าร่วมด้วยครับ ซึ่งตรงนี้มีเคล็ดลับเพิ่มเติมที่เราต้องฝึกฝน เพื่อที่จะใช้เป็นอคติที่สำคัญในการเพิ่มพลังสู่ความล้มเหลวได้อย่างดีครับ โดยตัวอย่างของการคิดไปเองอย่างที่ว่าก็คือเมื่อได้ยินได้ฟังอะไร เราต้องเกิดอาการ “มโน” หรือ “จิ้น” (จินตนาการ – คิดไปเอง) ว่า โอ้ววว มันน่าจะเป็นแบบนั้น แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ ในทางที่เราคิด (ลองนึกถึงน้องดาวในซีรีย์ฮอร์โมนก็ได้ครับ เอาแบบนั้นเลย ใสๆให้ได้แบบนั้นนะฮะ)
และเมื่อ “ไม่ใส่ใจหาความรู้” “ตรูเชื่อไว้ก่อน” และ “นอนคิดไปเอง” มารวมพลังกันเป็นหนึ่งเดียวเมื่อไร
เราก็จะได้พบกับบันไดขั้นที่ 4 !!!!! ที่มีชื่อว่า
.
.
.
.
.
โปรดติดตามตอนต่อไป …