fbpx

[เกรียน] บันได 5 ขั้นสู่ความล้มเหลวในการลงทุน ตอนที่ 4


หลังจากที่ผ่านบันไดขั้นแรก อยากรวยแต่ไม่อยากทำงาน ตามมาด้วยขั้นที่สอง คือ กล้าหาญอย่างบรรลัย และก้าวผ่านขั้นที่สามอย่าง ไม่ใส่ใจความรู้ ตรูเชื่้อไว้ก่อน นอนคิดไปเอง มาเรียบร้อยแล้ว ถือว่าเราเดินทางผ่านเส้นทางแห่งความล้มเหลวมาได้เกินกว่าครึ่งทางแล้วครับ (เย้ๆๆๆๆ ดีใจด้วยครับ เอ้าปรบมือ แปะๆๆๆให้กับตัวเองกันสักหน่อย ฮิ้ววววววววว) เหลืออีกนิดเดียวเท่านั้นเราก็จะได้พบเจอกับความล้มเหลวที่สุดในชีวิตแล้ว !!!!! (ตื่นเต้นจังเลยยยย)

เอาล่ะครับ!!! เมื่อก้าวมาถึงบันไดขั้นที่สี่นี้ วิธีการในการมุ่งสู่ “ความล้มเหลว” ของเรานั้น ก็ยังคงวนๆเวียนๆอยู่กับเรื่องของจิตใจเหมือนเดิม บอกกันตรงๆแบบนี้นะครับ คนเราจะล้มเหลวหรือไม่มันอยู่ที่ “ใจ” ครับ ถ้าในใจเราอยากจะล้มเหลวแล้วล่ะก็ แค่เริ่้มต้น “คิด” ก็สำเร็จไปเกินกว่าครึ่งแล้วล่ะ จริงไหมล่ะครัาบบบบ

บันไดขั้นที่สี่ : บรรเลงชีวิตด้วยความเชื่อมั่น

บรรเลงชีวิตด้วยความเชื่อมั่น

สำหรับบันไดขั้นที่สี่นี้ เราจะมาเริ่มต้นเตรียมด้วยการสร้างความ “เชื่อมั่น” กันต่อครับ แต่ระดับนี้แล้วจะให้เชื่อมั่นแบบธรรมดาก็คงจะไม่ได้ เราต้อง “บรรเลง” ให้เหมือนกับความเชื่อนี้เป็นเหมือนเพลงที่ฝังอยู่ในจิตใจ ให้มันลึกลงไปสุดใจ ได้คิดถึงเธออีกคราว เมื่อวันที่ … (เอ่อ… นั่นมันเพลงโฟร้ยยย)

แต่เอ๊ะ!!! คงมีท่านผู้อ่านหลายๆท่านอ่านถึงตรงนี้แล้ว รู้สึกว่ามันน่าจะแปลกๆ อะไรก้านนนน จะให้มา “เชื่อมั่น” แล้วไป “เชื่อคนอื่น” (ในบันไดขั้นที่ 3) ได้อย่างไร ฟังดูแล้วมันน่าจะแปลกๆขัดๆ ใช่ไหมล่ะครับ แต่มันก็เป็นแบบนี้แหละครับ สำหรับตรรกะของผู้ที่ต้องการมุ่งสู่ความล้มเหลว ย่อมที่จะย้อนแย้งพิลึกพิลั่นแบบนี้แหละครับ เพราะ “ความเชื่อมั่น” ในตอนนี้ จะต้องตามมาหลังจากความเชื่อที่เรา (หลง) ไปเชื่อคนอื่นมาแล้ว

เพื่อให้เข้าใจความหมายของบันไดขั้นนี้ที่ถูกต้อง เราลองมาดูตัวอย่างจากเรื่องราวบทสนทนาด้านล่างนี้กันครับ …

นาย “ยุดท์” เป็นผู้พัฒนาตนสู่ความล้มเหลวโดยผ่านขั้นที่ 3 มาแล้ว เมื่อนายยุดท์ได้ยินข่าวจาก “วงใน” ท่านหนึ่งว่า หุ้น AAA นี้จะมาแรงงงงงงงงค์ เพราะ “เจ้า” จะเข้า นายยุดท์เลยเกิดอาการสั่นพับๆๆๆๆ (เดี๋ยวนะ ตกลงเจ้าเข้าหุ้น หรือเข้านายยุดท์กันแน่ฟระ) คันไม้คันมืออยากจะซื้อ โดยที่ไม่มีความคิดที่จะตรวจสอบข้อมูลก่อน เนื่องจากเหตุผลในบันไดขั้นที่ 3 คือ “ไม่ใส่ใจความรู้ ตรูเชื่้อไว้ก่อน นอนคิดไปเอง”

ทีนี้เมื่อนาย “ยุดท์” ได้ก้าวเข้าสู่บันไดขั้นที่ 4 “บรรเลงชีวิตด้วยความเชื่อมั่น” นายยุดท์จะนำข้อมูลที่ได้ในบันไดขั้นที่ 3 มาฝังเข้าไปในสมอง ให้มันจมลงไปสุดใจ ปล่อยไว้ไม่ต้องดูและ แค่นี้ก็คงเพียงพอกับใจ … ของยุดท์แล้ว ใช่แล้วครับ!!! ยุดท์จะเชื่อทันทีเลยว่า “สาร” หรือ “ข้อมูล” ที่ได้รับมาจาก “วงใน” นั้นต้องถูกต้อง 1000000000000% โดยที่ไม่มีเหตุผลโคตรๆ และเมื่อยุดท์ไปเจอกับ “ป่าน” เพื่อนรักของเค้าซึ่งทำงานเป็นนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ ยุดท์ก็ตั้งใจจะนำข่าวสารของเค้าไปบอกเล่าให้กับป่านรับรู้

ยุดท์ : ดีป่าน นายทราบเรื่องหุ้นล่าสุดหรือยัง
ป่าน : ดียุดท์ ว่าไงเพื่อน
ยุดท์ : เราว่า หุ้น AAA ตัวนี้จะมานะ เราลองดูแล้ว
ป่าน : จริงเด้ แต่เราดูพื้นฐานแล้วมันไม่ใช่นะ AAA มันยังมี Ratio บางตัวที่ไม่โอเค
ยุดท์ : เฮ้ยยยยยยย ป่านทำไมนายพูดแบบนี้ นายอยู่วงการนี้ไม่รู้ข่าว “วงใน” บ้างหรือไง
ป่าน : ข่าววงในมันเชื่อถือไม่ได้นะยุดท์
ยุดท์ : แต่นี่คือ “ของจริง” ไงเพื่อน เรารู้มา เราว่าคราวนี้มาชัวร์ๆๆๆๆๆๆๆๆ
ป่าน : เอาตรงนะ ความรู้สึกเรา เราว่างบการเงินมันไม่สะท้อน ดูข้อมูลตรงนี้สิ เห็นไหมว่ามัน บลาๆๆๆ …
ยุดท์ : ไอ้ป่าน!!!!!!! นายพูดแบบนี้ นายดูถูกเราหรอ ถ้านายไม่เชื่อก็คอยดูละกันว่าอนาคตจะเป็นยังไง
ป่าน : ไม่รู้ดิ ถ้ารู้อนาคต ตรูจะมาวิเคราะห์หุ้นหาป๊ะเมริงเรอะ!!!
ยุดท์ : จำคำพูดนายไว้ แล้วคอยดูเราพิสูจน์ละกัน
ป่าน : เออ แล้วแต่นายเหอะ ฟายย เอ้ย บายยยเพื่อน

จากเหตุการณ์ตัวอย่างและบทสนทนาข้างต้นนี้เราจะเห็นความมั่นใจที่สูงมาก แต่เจือปนไปด้วยความเชื่ออย่างสุดใจ (โดยที่ไม่มีสาเหตุ) อย่างเช่นที่นายยุดท์ “คิดเอาเอง” ทั้งนั้นว่า สิ่งที่เราคิดนั้นมัน “ดี” และ “ถูกต้อง” โดยที่ควาย เอ้ย ใครหน้าไหนมันก็มาห้ามปรามไม่ได้ ถูกไหมล่ะครับ ซึ่งบทสรุปตอนท้ายนั้นจะเป็นอย่างไร ผมเชื่อว่าหลายๆคนก็คงเดาได้ไม่ยากใช่ไหมล่ะครับ

– เมื่อไรที่เราก้าวสู่บันไดขั้นนี้ –

แล้วเราจะรู้ตัวว่าเราได้ก้าวสู่บันไดด้านนี้ได้ตอนไหนกันล่ะ? ผมแนะนำให้ลองสังเกตตัวเองดูครับว่า ถ้าหากทุกๆครั้งที่ได้ยินถ้อยคำอันทรงพลัง อย่างเช่น “เค้าว่ามาว่า …” หรือ “วงใน” เมือไหร่ แล้วส่งผลให้ความมั่นใจของเราก็จะเพิ่มขึ้นอย่างเป็นทวีคูณ โดยที่ไม่รู้ว่า ไอ้เค้า หรือวงในนี่มันคือครายยยยกันแน่นะ หรือเมื่อไรที่เราพอใจกับสิ่งที่เราได้รับรู้มาและเชื่อเสมอว่ามันถูกต้องเสมอๆ โดยที่ไม่ต้องหาข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อพิสูจน์ความถูกต้องนั้นๆ เชื่อได้เลยครับว่า คุณเข้าสู่บันไดขั้นนี้อย่างเต็มภาคภูมิแล้วครับ!!!

สุดท้าย … เมื่อเราก้าวเข้าสู่ความล้มเหลวแล้ว เรื่องใช้เหตุผลก็คงจะไม่จำเป็นเท่าไร ต่อไปจากนี้คงต้องเป็น Feeling ล้วนๆ ใช่ไหมล่ะฮะ

และเมื่อเรามี “ความเชี่อมั่น” ในลักษณะนี้มากๆเข้า มันจะส่งผลต่อความล้มเหลวอย่างต่อเนื่องเหมือน Domino ‘s effect (ล้มไปเรื่อยๆแบบโดมิโนยังไงล่ะ) โดยที่เราไม่ต้องเสียเวลาที่จะต้องหาความรู้เรื่องอื่นๆเลย หรือแม้แต่ทำการสำรวจตัวเองเพื่อหาข้อดีข้อเสียต่างๆ แต่ให้ใช้ความเชื่อมั่นอย่างสุดใจแทนครับว่า ใครคนไหนที่เห็นต่างจากเรา มันอิจฉา มันเลว มันชั่ว มันไม่ดี มันคือโปเตโต้ เพราะว่าคนพวกนี้เปรียบเสมือนมาร!!! มาคอยขัดขวางไม่ให้เราก้าวสู่ความล้มเหลว เรื่องอะไรที่จะต้องมาฟังคนพวกนี้ จริงไหมล่ะฮะ …. (ปิดปากหัวเราะแบบหยิ่งๆ)

นอกจากนั้นแล้ว เราต้องมั่นใจก่อนว่าเราทำได้ทุกอย่าง ไม่ต้องถามตัวเองว่าเรา “ต้องการ” อะไรหรอกครับ มันเสียเวลา ให้มั่นใจเกิน 100% อย่างเดียวเท่านั้นคือหลักการของเรา และถึงแม้สิ่งที่เราเชื่อไว้มันดันผิด หรือไม่เป็นอย่างที่คิดขึ้นมา ก็ไม่ต้องคิดอะไรมากครับ มองหาคนรอบข้างแล้วกล่าวโทษให้หมด ตั้งแต่ เพื่อน แฟน กูรูต่างๆที่คุณไปขอคำปรึกษามา วงใน วงนอก วงแหวนรอบนอก ฯลฯ ประกาศกร้าวไปเลยครับว่าเป็นเพราะคนนู้นนี้ และบรรดาสาเหตุต่างๆที่ทำให้เราต้องเป็นแบบนี้ เพราะอากาศเปลี่ยนแปลงบ่อย เพราะฝนตกแดดออก โทษแม่มให้หมด เหลืออย่างเดียวที่ไม่ควรโทษ คือ “ตัวเอง”

หลังจากที่โทษคนอื่นเรียบร้อยแล้ว อย่าลืมบ่นกับตัวเองด้วยนะครับว่า ทำไมไม่มีใครเข้าใจตรูบ้าง ที่ตรูเป็นแบบนี้เพราะพวกเอ็งนี่แหละที่มากดดันมาทำร้าย มาข่มขู่ ดูหมื่น ฯลฯ (ในส่วนนี้ให้มี action drama ในการเขวี้ยงปาข้าวของเพิ่มด้วยครับ จะทำให้ดูอินมากขึ้น คนรอบข้างจะได้หนีหายไปกันหมด)

และเมื่อเหตุการณ์ข้างต้นสงบลงแล้ว ผมขอแนะนำให้คุณสูดลมหายใจลึกๆ มองในกระจกและยิ้มสวยๆให้กับตัวเองแล้วพูดย้ำอีกครั้งว่า “ชั้นเก่ง ชั้นเจ๋งที่ซู้ดดดด” พร้อมกับทำตัวกับคนรอบข้างเหมือนว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แค่นั้นก็พอครับ

.
.
.

(โปรดติดตามตอนต่อไป)

error: เว็บไซต์ป้องกันการ copy