fbpx

[เกรียน] บันได 5 ขั้นสู่ความล้มเหลวในการลงทุน ตอนที่ 5

โพสต์เมื่อ: 09 ก.ย. 2013

ป้ายกำกับ: , , , ,


หลังจากที่ผ่านไปแล้วกับบันไดสี่ขั้น จนชีวิตของคุณได้ดำเนินมาจนเกือบจะถึงปลายทางแล้ว คราวนี้แหละครับ เรามาฟินนาเล่กับบันไดขั้นสุดท้ายสู่ความล้มเหลวกันเลย ผมขอรับรอง ณ จุดๆนี้เลยว่า เมื่อผ่านบันไดขั้นนี้ได้ ชีวิตของคุณย่อมจะล้มเหลวได้อยากที่วาดฝันไว้อย่างแน่นอนครับ ^^

โดยปกติแล้ว ในการลงทุนใดๆก็ตาม เราต้องใช้ “สติ” มาช่วยในการตัดสินใจ แต่สำหรับผู้ที่ต้องการจะประสบความล้มเหลวแล้วนั้น ในขั้นตอนสุดท้ายนี้ เราต้องปล่อยให้การตัดสินนั้นเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วโดย ”ห้าม” ให้สติมาช่วยยั้งคิดแม้แต่เพียงเล็กน้อย เพราะถ้าได้คิดแล้วบางครั้งเราอาจจะมีสติขึ้นมาจนไม่กล้าก้าวสู่ความล้มเหลวได้ครับ

และทั้งหมดนี้ก็คือที่มาของบันไดขั้นสุดท้าย “ฉันควบคุมสติไม่ได้”

ฉันควบคุมสติไม่ได้

Step 5

สำหรับวิธีฝึกในการที่จะทำให้ “ควบคุมสติไม่ได้” นั้น เราจะเริ่มต้นจากการฝึกให้ตัวเองมีอารมณ์แบบ “วัยว้าวุ่น” และตามมาด้วยการ “เพิ่มความวิตกจริต” ไปทีละขั้นตอนครับ

มีอารมณ์แบบ “วัยว้าวุ่น”

วิธีการฝึกให้ตัวเองเป็น “วัยว้าวุ่น” ที่ดีนั้น จะช่วยให้เราตัดสินใจลงทุนด้วยจิตใจที่ไหวหวั่น คล้ายๆกับวัยรุ่นใจร้อนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอะดรินาลีนเฉกเช่นซีรีย์เรื่องดัง เพราะฉะนั้น เราต้องฝึกตัวเองให้เป็นคนที่ด่วนคิด ด่วนตัดสินใจ และถูกกระตุ้นให้จิตใจสับสน ว้าวุ่นและวุ่นวายได้ง่ายๆ ก่อนครับ

สำหรับนักลงทุนมือใหม่นั้น สิ่งที่ผมอยากแนะนำให้ท่านทำในอันดับแรกก็คือ ลองทุ่มเงินสักก้อนไปซื้อหุ้นดังๆที่กำลังเป็นข่าวสักตัว หลังจากนั้นแล้วก็นั่งเฝ้าหน้าจอทั้งวันทั้งคืน เมื่อเราเห็นตัวเลขวิ่งขึ้นวิ่งลงกระทบกับหุ้นของเรา เดี๋ยวเพิ่มเดี๋ยวลด เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลง มันจะทำให้เรามีอาการสั่นไหว กำไรมากหน่อยก็อยากขายแต่กลัวตกรถ พอขาดทุนสักนิดก็อยากซื้อเพิ่มแต่กลัวติดดอยยังไงอย่างนั้น

นอกจากนั้น เรามาเพิ่มอารมณ์หวั่นไหวให้มากขึ้นด้วยสภาวการณ์รอบข้าง เช่น ข่าวจากอินเตอร์เน็ต หนังสือพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์และกูรูนักลงทุนต่างๆ และเมื่อหวั่นไหวง่ายขึ้นถึงจุดหนึ่งแล้ว วิธีการตัดสินใจของเราจะเริ่มสับสนและไม่แน่ชัดขึ้นเรื่อยๆ

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้นว่า “ความว้าวุ่น” นั้นเป็นอย่างไร ลองมาดูตัวอย่างกันนะครับ …

1. เมื่อได้ยินคนบอกว่าหุ้นตัวนี้ จะขึ้น คุณสามารถตัดสินใจซื้อโดยไม่ลังเล เพราะ “กลัวตกรถ”
2. เมื่อมีคนบอกว่าหุ้นตัวไหนจะลง ถ้าคุณถืออยู่และพบว่าเริ่มลงแล้ว คุณจะรีบขายทันทีโดยไม่มีเหตุผลและหลักการใดๆ และถ้าหากมาใครถามคุณจะบอกว่า “รู้สึกกลัวว่าจะติดดอย” หรือ “มันต้องลงแน่ๆ”
3. คุณเริ่มอ่านข่าวและวางแผนซื้อหุ้นรายวันตามกระแส โดยที่ไม่สนใจเลยว่าหุ้นตัวนั้นทำธุรกิจอะไร
4. คุณซื้อๆขายๆหุ้นบ่อยมาก และตัดสินใจได้รวดเร็วขึ้นโดยไม่ต้องผ่านการไตร่ตรอง กำไรขาย ขาดทุนขาย เผลอแป็บๆเดี๋ยวก็กลับไปซื้อใหม่
5. คุณพูดเสมอว่าซื้อหุ้นตามเทคนิค แต่คุณดูกราฟไม่เป็นแม้แต่น้อย (ฟังเค้าว่ามา ..) และเมื่อคุณติดดอย คุณจะบอกคนอื่นทันทีว่าตัวเองคือ นักลงทุนในสไตล์ VI ประเภทไม่ขายไม่ขาดทุน (อะไรกันฟระ?)

จริงๆแล้ว ยังมีลักษณะอีกมากมายนะครับ แต่ขอยกประเภทออกมาบางตัวอย่างเท่านั้นเดี๋ยวเรื่องราวจะยาวไปกว่านี้จนเขียนไม่จบสักกะที แฮร่ … และทั้งหมดนี้คือผลลัพธ์หลังจากฝึกใจให้ “ว้าวุ่น” เรียบร้อยแล้วครับผม

เพิ่มความวิตกจริต

ถ้าการที่เรามีใจว้าวุ่นอย่างเดียวไม่พอที่จะทำให้ล้มเหลวอย่างถึงที่สุด เรามาเพิ่มพลังแห่งความขาดสติ โดยสร้างความวิตกจริตขึ้นมาในจิตใจกันต่อเลยดีกว่าครับ

ความวิตกจริตในจิตใจนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะสร้างหรอกครับ เพียงแค่ทำใจให้ฟุ้งซ่าน คิดถึงแต่เรื่องที่ทำให้ไม่สบายใจ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงที่ “หุ้นตก” เราจะเริ่มตั้งคำถามเชิงลบกับตัวเองไว้เลยว่า

– อะโธ่ววววว ตอนหุ้นขึ้นน่ะไม่ขาย แล้วตอนนี้จะทำไงดีว่ะเนี่ย
– ขาดทุน 30% ยอมขายทิ้งแล้วไปซื้อใหม่ดีป่ะวะ
– ข่าวคนนู้น คนนั้น บอกว่า บลาๆๆๆๆ มันจะลงอีกนะเธอ
– รู้งี้ .. ไม่เล่นหุ้นดีกว่าว่ะ

หรือตอนหุ้นขึ้น เรายังสามารถคิดลบได้เช่นเดียวกันครับ

– แหม่… ขึ้นแบบนี้แล้วจะลงเมื่อไรวะเนี่ย
– ตัวนี้มันหุ้นปั่นป่ะวะ เค้าบอกว่า งู้นงู้ …

นี่แหละครับ หลักการสร้างความวิตกจริตในจิตใจ เรื่องราวพวกนี้มันไม่ยากหรอกครับ แค่ฝึกบ่อยๆ คิดให้มากๆ และใช้ร่วมกับบันไดทั้งสี่ขั้นที่ผ่านมา รับรองครับว่าได้วิตกจริตสมใจอยากแน่นอน …

ท้ายที่สุดแล้ว หลังจากเรา “ว้าวุ่น” และ “วิตกจริต” เรียบร้อยแล้ว เราก็พร้อมที่จะก้าวสู่บันไดขั้นสุดท้ายได้อย่างสมบูรณ์แล้วล่ะครับ

บทสรุป

ขอสารภาพตรงๆนะครับว่า จุดประสงค์ที่ผมเขียนเรื่องเกรียนๆอย่าง “บันได 5 ขั้นสู่ความล้มเหลวในการลงทุน” ทั้ง 5 ตอนที่ผ่านมานี้ เพียงแค่ต้องการให้เพื่อนๆทุกท่านระวังและเตรียมตัวเตรียมใจสำหรับการลงทุนไปพร้อมๆกัน เนื่องจากผมมีความเชื่ออยู่ลึกๆ (คนเดียวว่า) ความล้มเหลวอาจจะทำให้เราไปถึงจุดหมายช้า แต่การ “ล้มเลิก” ต่างหากที่ทำให้เราไม่ถึงจุดหมายอย่างแน่นอนใช่ไหมล่ะครับ

บางทีแล้วบทเรียนแห่งความล้มเหลวที่เล่ามาทั้งหมดนี้ อาจจะมีประโยชน์ไม่มากก็น้อย แต่ก็คงไม่มีใครบ้าไปทำตามจริงๆหรอกนะ ( – -“)

สุดท้ายนี้ บทความชุดนี้ก็คงต้องลาไปก่อน และหวังว่าจะมีโอกาสได้พบกันใหม่ในโอกาสหน้ากับบทความเกรียนๆแบบนี้อีกนะคร้าบบบบบ :)

error: เว็บไซต์ป้องกันการ copy