fbpx

เงินทองก่อนแต่ง ตอนที่ 3 : เงินในอนาคตสำคัญที่ซู้ดดดดดด

โพสต์เมื่อ: 12 ต.ค. 2013

ป้ายกำกับ: , , ,


หลังจากที่เขียนจบไปแล้วใน ตอนที่ 2 เรื่อง “เงินสามเวลา” (เขียนไว้นานมว้าาาากกกก) ผมก็ได้รับคำถามจากเพื่อนๆหลายคนทางหลังไมค์มาว่า ถ้าหากการแต่งงานมันทำให้ชีวิตยากเสียขนาดนี้ อย่าแต่งเลยจะดีไหม? ทำไมต้องคิดอะไรให้มากมายขนาดนี้หา (ไอ้) บักหนอม!!!

แหม่… ถึงกับหลังไมค์มาขึ้น “ไอ้” กันเบยยย เกิดเป็นแอดมินเพจภาษีง่อยๆ มักจะโดนลงทัณฑ์ แบบนี้แหล่ะครับ แต่จริงๆไม่ได้โดนแค่นี้นะครับ โดนด่าบุพการี ใส่สีเสื้อ เพื่อชีวิต คิดให้ออกนอกประเทศ ก็โดนมาหมดแล้วล่ะก้าบบบบ ของแค่นี้จิ๊บๆๆๆๆคร้าบโผมมมมม TwT

เอาล่ะเพื่อไม่ให้เสียเวลาไปกว่านี้ วันนี้ได้ฤกษ์งามยามดี จึงตัดสินใจเขียนเรื่องราวดีๆออกมาในตอนที่ 3 และขออนุญาตเอาทั้งหมดมาตอบ ณ จุดจุดนี้เลยครับว่า การแต่งงานมันยากจริงๆครับโผม #นี่พูดเลย แต่เมื่อมันเป็นสิ่งที่ยากก็แปลว่าสิ่งนั้นมีคุณค่ากับชีวิตของเราจริงไหมล่ะครับ ซึ่งการที่ผมแนะนำคุณผู้อ่านให้แบ่งเงินออกเป็นสามเวลานั้น เพื่อต้องการจะตั้งคำถามแก่คู่ (ที่กำลังจะ) แต่งงานอีกครั้งหนึ่งว่า เราควรจะให้คุณค่ากับช่วงเวลาไหนมากกว่ากัน? ระหว่าง “ก่อนแต่งงาน” “ณ วันแต่งงาน” และ “หลังแต่งงาน”

ในวันแต่งงานของทุกคน ผมเชื่อเลยครับว่าเป็นวันแห่งชีวิตคู่ที่มีความสุขกำลังเริ่มต้นขึ้น แต่หลังจากนั้นแล้วชีวิตคู่ยังคงต้องดำเนินต่อไปเรื่อยๆ คงไม่ใช่เหมือนในหนังที่ว่าจะจบลงด้วยความสุขเพียงอย่างเดียว แล้วขึ้นคำว่า “สวัสดี” หรือ “จบบริบูรณ์” ใช่ไหมล่ะครัสสส คนทั้งคู่นี่แหละยังคงต้องลืมตาขึ้นมาแคะขี้ตา ดมขี้ฟัน หรือมากกว่ากัน อีกตราบนานเท่านานนนนนนน (แหม่ .. ฟังแล้วคลื่นไส้พิกล)

ดังนั้นในความคิดเห็นของผมนั้น คู่แต่งงานทั้งหลายควรให้คุณค่ากับ “เงินหลังแต่งงาน” มากที่สุดครับ!!!!! อย่างในกรณีของผมนั้น ได้วางแผนว่าจะต้องแบ่งเงินในส่วนนี้มาเก็บไว้มากที่สุด เพื่อ “อนาคต” ที่ตามมาอีกมากมาย เช่น

– ค่าใช้จ่ายในครอบครัวต่างๆ ที่ต้องช่วยกันจ่ายในแต่ละวัน ละเดือน แต่ละปี
– ค่าใช้จ่ายในการซื้อทรัพย์สินเพื่อสร้างครอบครัว เช่น บ้าน รถยนต์ ที่พักอาศัย ฯลฯ
– ค่าใช้จ่ายในการวางแผนครอบครัว เช่น ลูก หลาน เหลน โหลน ในภายภาคหน้า
– เงินอม เอ้ย เงินออมเผื่อฉุกเฉิน สำหรับเหตุการณ์ที่ไม่คาดคิดที่อาจจะเกิดขึ้นกับครอบครัวของเราอีกล่ะ
– อื่นๆอีกมากมายที่กำลังจะตามมา

เห็นไหมครับว่า แค่คิดมาเล่นๆ ก็ปวดหัวจริงๆ แล้วว่าจะจัดการยังไง ถ้าหากท่านผู้อ่านทั้งหลายเห็นด้วย ผมขอแนะนำว่าให้ “ตัดใจ” แบ่งเงินส่วนนี้ออกมาไว้ก่อนเลยว่า คุณต้องสำรองไว้เท่าไร จึงจะพออยู่ได้ อันนี้สูตรใครสูตรมันครับ แต่ต้องแบ่ง!!!!!! (ขีดเส้นใต้สามเส้น)

เพื่อให้รู้ถึงความสำคัญของเงิน เราลองมาดูกันครับ สำหรับเงิน 1 ล้าน ณ วันนี้ หากเราเอาไปลงทุนโดยได้รับผลตอบแทนที่แตกต่างกัน มันจะเป็นอย่างไรบ้าง (ขอบคุณรูปประกอบจากเพจ @Sinthorn ด้วยนะคร้าบบบ)

อนาคตเงิน

(ที่มาของรูป : เงิน 1 ล้านบาท วันนี้ จะเป็นเท่าไหร่ในอีก 25 ปีข้างหน้า?)

– นายบักหนอม (ออม) ก่อนแต่ง –

เพื่อให้เห็นภาพชัดเจนขึ้น ขออนุญาตกลับมาที่เรื่องราวของผมกันต่อละกันครับ หลังจากที่ผมวางแผนทุกอย่างแล้ว ผมก็ตัดสินใจว่าจะแบ่ง “เงินหลังแต่ง” ไว้ถึง 60% และใช้เจ้า 40% ที่เหลือนั้น ในการจัดการเรื่องราวก่อนแต่งงานและระหว่างแต่งงานเท่านั้น (TwT) ดังนั้นสิ่งที่ยากที่สุดที่กำลังจะตามมาก็คือ

ผมจะ “วางแผนจัดการการเงินสำหรับการแต่งงาน” อย่างไรดี ….

– “จำนวนแขก” คือ สิ่งแรก –

เมื่อการบริหารจัดการเงินเป็นเรื่องสำคัญ ดังนั้นสิ่งที่ควรคำนึงในการจัดงานแต่งงานเป็นอันดับแรก สำหรับผมแล้ว ผมให้น้ำหนักไปที่ “จำนวนแขก” ที่จะมาร่วมงานเป็นตัวแรกเลยครับ เพราะเป็นตัวช่วยกำหนดงบประมาณที่เราจะใช้ได้ถูกต้องครับ

เมื่อพูดถึงเรื่อง “จำนวนแขก” แต่ไม่ใช่หมายถึง “แขก” จริงๆนะครัสแหม่ (ยังมีใครเล่นมุขแบบนี้อีกไหมเนี่ย ฮาาา) หรือจำนวนผู้ที่เข้าร่วมงานแล้ว เราก็ต้องถามตัวเองว่า งานแต่งงานที่เรากำลังจะจัดนั้นต้องการ “ความใหญ่โต” หรือ “ความเริดหรูอลังการอย่างดาวล้านดวง” (มีใครเกิดทันรายการนี้บ้างเนี่ยย TwT) กันแค่ไหนก่อนครับ

เพราะในเรื่องนี้ บางคนมีความเห็นว่า อยากจะจัดงานเล็กๆในครอบครัวก็พอแล้ว แต่บางคนอาจจะมีเรื่องของธุรกิจและ Connection ในแวดวงการงานต่างๆ ทำให้อาจจะต้องจัดงานใหญ่ขึ้นมาหน่อย ดังนั้นลองตรวจสอบความต้องการและ “ตกลง” ให้ชัดเจนก่อนนะครับ ไม่ว่าจะเป็นทางผู้ใหญ่ของทุกฝ่ายๆ และตัวของเจ้าบ่าวสาวเอง ขอย้ำว่า ตรงจุดนี้เป็นจุดสำคัญแรกที่ต้องจัดการให้ชัวร์และแน่นอนนะครับ เพราะถ้าไม่ชัวร์แล้ว งบจะบานปลายชนิดแบบที่เรียกว่าชิบหายวายป่วงกันเลยทีเดียวครัสสสสสส!!!!!!

ในส่วนนี้ขอมีทิปเด็ดแนะนำครับว่าให้ทำสรุปรายชื่อของใครของมันออกมาเลยครับ แล้วมาช่วยกันลิสต์แขกส่วนกลางที่รู้จักด้วยกันอีกทีหนึ่ง ทีนี้เราจะรู้จำนวนแขกที่ประมาณได้คร่าวๆแล้วล่ะครับผม :)

แต่ผมเชื่อเลยว่า… ถ้าใคร มักมีคนแย้งออกมาว่า เฮ้ยยยย ไอ้คุณบักหนอม “การแต่งงานมันเป็นเรื่องของคนสองคนไม่ใช่หรอออออ” งั้นผมขอถามกลับ ณ จุดจุดนี้เลยว่า ถ้าการแต่งงานมันเป็นเรื่องของคนสองคนจริงๆ แล้วล่ะก็ คุณก็คงไม่ต้องจัดงานแต่งงานแล้วใช่ไหมล่ะคร้าบ แค่จูงมือกันไปจดทะเบียนเลยก็ได้ (อันนี้ล้อเล่นนะคร้าบบบบ อิอิ)

สำหรับเรื่องแขก มีอีกเรื่องหนึ่งที่อยากให้ใส่ใจครับ คือ เรื่องของ “ผู้ใหญ่” โดยเฉพาะคุณพ่อคุณแม่ของบ่าวสาวคู่ใดที่มีเพื่อนฝูงมากมาย (หรือจะมีน้อยก็ตาม) ผมเชื่อว่าในใจทุกท่านก็คงปลาบปลื้มอยู่ลึกๆว่า แหม่ ลูกของชั้นกำลังจะแต่งงาน ไม่ว่ายังไงก็อยากจะให้มีคนรับรู้กับเรื่องราวดีๆแบบนี้มากขึ้นแน่นอน ดังนั้นจงให้ความสำคัญของแขกในส่วนของผู้ใหญ่นี้ด้วยนะครับ ส่วนหนึ่งคือเป็นการให้เกียรติท่าน ทั้งผู้ใหญ่ฝ่ายของเราและฝ่ายของคู่ของเราด้วย อีกส่วนหนึ่งก็คืออย่างที่บอกครับ ถ้าไม่จัดการเรื่องจำนวนให้ชัดเจน รับรองว่าวุ่นวายแน่นอนครับ เพราะจะมีแขกที่คาดไม่ถึง ลืมเชิญ ลืมบลาๆๆๆ อีกมากมาย และ ณ เวลานั้นนอกจากงบจะบานปลายแล้ว อารมณ์จะเสียไปด้วยน่ะสิครับ

สำหรับตอนนี้เราเริ่มเข้ามาพูดในส่วนของเงินก่อนแต่งงานกันแล้ว ในเรื่องจำนวนแขก ในตอนต่อไปจะเป็นการเล่าเรื่องและพูดคุยในส่วนของรูปแบบ “การจัดงาน” และ “สถานที่” ซึ่งเป็นอีกเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กันเลยล่ะคร้าบบบบ หากใครมีคำถามอะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ก็ Comment ถามไว้ได้ครับ หรือจะไปพูดคุยกันที่แฟนเพจ @TAXBugnoms ก็ยินดีมากๆเลยฮะ

แล้วพบกันตอนต่อไปนะคร้าบบบบบ :)

error: เว็บไซต์ป้องกันการ copy