เงินทองก่อนแต่ง ตอนที่ 4 : แต่งที่ไหน และ อย่างไร!!!
หลังจากที่เราพูดคุยกันเรื่อง “จำนวนแขก” เป็นที่เรียบร้อยไปแล้วในตอนที่ 3 ในตอนนี้เรามาดูกันต่อเลยดีกว่าในเรื่องของ “สถานที่แต่งงาน” และ “รูปแบบงาน” ที่เราต้องการนั้นควรจะเป็นแบบไหนและอย่างไรดี
อ้อ…ออกตัวไว้ก่อนนะครับว่า ตั้งแต่ตอนนี้เป็นต้นไปนั้นจะเป็นเรื่องราวและมุมมองจากความคิดเห็นของผม (@TAXBugnoms) คนเดียวนะครับ หากเพื่อนๆพี่ๆน้องๆท่านไหนมีไอเดีย หรือความคิดเห็นนอกเหนือจากนี้สามารถแนะนำได้เลยฮะ ไม่ต้องเกรงใจแต่อย่างใด ถือว่ามาแลกเปลี่ยนความคิดกันดีกว่าคร้าบบบบ (แหม่ ไอ้ผมก็แต่งงานมาครั้งเดียวเอง ที่เหลือก็ฟังเค้าเล่าๆมาน่ะคร้าบบบ)
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มกันที่เรื่องแรก คือ “สถานที่จัดงานแต่งงาน”
– สถานที่จัดแต่งงาน –
เมื่อได้จำนวนแขกจากตอนที่แล้วเป็นเรียบร้อยแล้ว เราก็นำมาเปรียบเทียบกับ “งบประมาณ” ที่มีอยู่ (ดูวิธีกำหนดงบประมาณได้ในตอนที่ 2 : เงินสามเวลา) หลังจากนั้นแล้ว เราจะเริ่มมองเห็นภาพรวมคร่าวๆแล้วล่ะครับ ว่าจะเลือกสถานที่แบบไหนและยังไงดี ซึ่งโดยปกติแล้ว สถานที่จัดงานแต่งงานก็จะมีอยู่หลายรูปแบบแตกต่างกันไป ซึ่งผมคงจะไม่ลงรายละเอียดนะครับ เพราะหลายๆท่านสามารถหาอ่านได้ตามเวปไซด์เกี่ยวกับการแต่งงานทั่วไปอยู่แล้ว แต่ผมจะขออนุญาตแนะนำการวางแผนจัดงานแต่งงานตามงบประมาณดีกว่าครับ (แหม่ บล็อกนี่คุยเรื่องการวางแผนการเงินนี่ฮ้าฟฟฟฟ)
1) กลุ่มแรก : งบประมาณน้อย / แขกน้อย
สำหรับกลุ่มนี้ขอแนะนำสถานที่ยอดฮิต อย่าง “โรงพยาบาลสงฆ์” หรือสถานที่แต่งงานที่เป็น “ร้านอาหาร” เนื่องจากสถานที่เหล่านี้จะช่วยให้เราไม่สิ้นเปลืองงบประมาณมากนัก แต่ถ้าบอกว่างบน้อยจริงๆถึงขั้นน้อยมากเลย การจัดเลี้ยงกันในบ้านของฝ่ายเจ้าบ่าวหรือเจ้าสาวก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวนะครับ
ป.ล. แต่ถ้าคุณบริหารจัดการดีๆ และวางแผนได้อย่างเหมาะสม การจัดงานแต่งงานในสถานที่ที่ (ผมเข้าใจว่า) คนส่วนใหญ่ชื่นชอบขึ้นมาหน่อย อย่างเช่น สโมสรต่างๆ หรือ โรงแรมบางแห่ง ที่คุณสู้ไหว ก็เป็นทางเลือกที่ไม่เลวอีกทางหนึ่งครับ
เหตุผลที่ผมแนะนำแบบนี้นั้น ก็เพราะอย่างที่เคยบอกไว้ในตอนก่อนหน้าว่า “งานแต่งงานไม่ใช่เรื่องของคนสองคน” ดังนั้น หากคุณมองว่าการยกระดับของสถานที่เป็นการ “ให้เกียรติ” ทั้งคู่ของเราและแขกที่มาร่วมงานก็ควรจะทำนะครับ แต่ถ้ามองว่าสบายๆไม่ซีเรียสอยู่แล้ว อันนี้ก็ตามสบายเลยคร้าบบบ
2) กลุ่มที่สอง : งบประมาณน้อย / แขกเยอะ
สำหรับกลุ่มนี้ ขอแนะนำทางเลือกสองทางให้คุณเลือกครับระหว่างการ “ลดจำนวนแขกลง” หรือ “เพิ่มงบประมาณ” ขอย้ำอีกครั้งนะครับว่า ผมพูดจริงๆนะครับ เพราะถ้าหากคุณมีงบประมาณที่ไม่พอแล้ว สิ่งที่ควรทำคือสองวิธีการข้างต้นเท่านั้น!!
สำหรับผมแล้ว มักจะแนะนำให้เพื่อนๆพี่น้องๆ ยกเลิกความคิดที่จะ “กู้เงิน” มาเพื่อจัดงานแต่งงานเด็ดขาด!!! เพราะการกู้เงินมาจัดงานนั้น อาจจะสร้างปัญหาให้กับชีวิตในอนาคตของคุณ ที่ต้องเอาอนาคตของคนทั้งคู่มาแบกรับภาระทางการเงิน โดยทีไม่รู้ว่าอนาคตจะเกิดอะไรขึ้น และมีเหตุการณ์อะไรบ้างที่จะทำให้ฐานะทางการเงินของคุณเปลี่ยนแปลงไปนะครับ
“แหม่.. จะเอาอะไรมาก เดี๋ยววันแต่งก็ได้เงินคืนมาแล้ว ค่อยเอามาจ่ายก็ได้นี่นา” มีเพื่อนคนหนึ่งของผมเคยแย้งแบบนี้มาครั้งหนึ่ง แต่ปรากฎว่าในชีวิตจริงของเจ้าเพื่อนคนนี้ งานแต่งงานของมันดันเกิดข้อผิดพลาดขึ้น เพราะเป็นวันฤกษ์ดีสุดๆ ฝนตก รถติด แขกที่มางานก็ไปงานอื่นด้วย ทำให้เงินที่ได้รับจากแขกนั้น น้อยกว่าที่คาดไว้ประมาณ 40% และนั่นแหละครับ คือสิ่งที่ชีวิตของเจ้าเพื่อนคนนี้และคู่ของมันต้องแบกรับไปอีก 3 ปีกว่าๆ
แต่ก็อย่างที่ว่าแหละครับ รู้อะไรไม่สู้ .. รู้งี้ หรือไม่ก็ รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลองงงงง เฮ้ออออ TwT
3) กลุ่มที่สาม : จะแขกน้อยหรือเยอะ แต่งบประมาณชั้นเยอะ (ย่ะ)
สำหรับกลุ่มนี้ ผมเชื่อว่าพวกพี่เหนือจริง มีทางเลือกเยอะแยะมากมาย ดังนั้นแนะนำสั้นๆว่า “ตามสบาย” ครับท่าน ไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งสิ้นคร้าบผม แต่ระวังอย่าให้เกินงบประมาณที่ตั้งไว้ละกันนะคร้าบบบบ
โดยปกติกลุ่มนี้นั้น มักจะเลือกจัดงานในสถานที่ที่มีคุณค่าและราคา จัดงานหากเป็นร้านอาหารก็คงเป็นร้านที่ดูดีมีระดับ, สโมสรขนาดใหญ่ หรือ โรงแรมหลากดาว เป็นต้นครับ
หากจะถามว่าทำไมเค้าถึงเลือกที่จะจัดแบบนี้ล่ะ ก็เพราะว่าเค้ามีงบประมาณเยอะยังไงล่ะครับ (ตอบแบบกำปั้นทุบดินชัดๆ – -“) เมื่อมีงบประมาณเยอะ การตัดสินใจเลือกจัดงานก็สามารถง่ายและสะดวกมากขึ้นยังไงล่ะครับ
เอาล่ะครับ…เมื่อหมดเรื่องแรกไปแล้ว คราวนี้เรามาว่ากันต่อในเรื่องที่สอง “รูปแบบงาน” กันต่อเลยดีกว่าครับ
– รูปแบบงาน –
สำหรับรูปแบบงานนั้น โดยปกติจะจัดกันอยู่ 3 แบบครับ ได้แก่ โต๊ะจีน, บุฟเฟ่ต์ และ คอกเทล
โต๊ะจีน : กรณีของโต๊ะจีนนี้จะเหมาะมากๆกับงานที่มีแขกผู้ใหญ่เยอะ (เอาตรงๆก็คนแก่นั่นแหละครับ อิอิ) เพราะมีที่นั่งพร้อมบริการเสิร์ฟอาหาร ทำให้งานเป็นระเบียบ ไม่วุ่นวาย ดูเป็นทางการ
ในส่วนนี้สิ่งที่เหนื่อยที่สุด เห็นทีจะเป็นการ “จัดแขกใส่กระด้ง” เอ้ย “จัดแขกลงโต๊ะ” ให้ถูกกลุ่มถูกใจทุกท่าน อันนี้รับรองว่าเหนื่อยแน่นอนครับ
บุฟเฟต์ : กรณีนี้จะคล้ายๆกับงานแบบโต๊ะจีน คือ มีโต๊ะให้นั่งเหมือนกัน แต่มีขั้นตอนเพิ่มขึ้นมาอีกหน่อย ให้แขกได้ออกกำลังกายโดยลุกขึ้นไปตักอาหารด้วยตัวเอง ความเป็นระเบียบอาจจะน้อยลง งานอาจจะดูเป็นกันเองขึ้นมาหน่อย แต่การจัดแขกลงโต๊ะก็คงไม่ต่างกับโต๊ะจีนครับ
คอกเทล : อันนี้จะเน้นแขก “ยืน” เป็นหลักมากกว่าแขก “นั่ง” คนในงานสามารถพูดคุยกันได้อิสระครับ และดูงานเป็นกันเองมากกว่าแบบอื่นๆ สบายตรงที่ไม่ต้องจัดแขก แต่แขกบางท่านอาจจะไม่ชอบเพราะต้องยืนนานๆ มันจะยิ่งเมื่อยนะครับ
ขอเน้นว่าสิ่งที่ผมอยากจะให้วิเคราะห์ในการจัดงาน คือ ทางบ่าวสาวควรจะลองพูดคุยความเห็นจากคนรอบตัวดูก่อน ว่ามีความต้องการอย่างไร เพราะแต่ละแบบก็มีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป บางคนชอบแบบไหน อันนี้ห้ามกันยากครับ ต่างจิตต่างใจ แต่ยังไงเอาให้ลงตัวดีกว่าครับ
ผมเชื่อว่า ณ จุดๆนี้ ต้องมีผู้ใหญ่ใจดีหลายท่าน อ่านแล้วคิดอยู่ในใจว่า ไอ้นี่พูดมาซะเว่อร์ (อีกแล้ว) แล้วตัวเอ็งล่ะจัดแบบไหน ไอ้บักหนอม !!!!
สำหรับงานของผม ผมเลือกจัดงานแบบคอกเทล โดยผสมผสาน “โต๊ะ” เข้าไปเพื่อรองรับแขกผู้ใหญ่ให้มากกว่างานคอกเทลปกติๆ เนืองจากต้องการความสะดวกในการจัดงานและส่วนนึงมาจากความคิดเห็นของบรรดาคนรอบตัวครับว่า การจัดในแบบที่มี “โต๊ะ” มากๆนั้นทำให้แขกไม่สามารถคุยกันได้ถนัดนัก และยังต้องเสียเวลามาจัดแขกลงแต่ละโต๊ะอีกด้วย (อันนี้นึกถึงตัวเองเวลาไปงานครับ ว่าผมไม่ค่อยชอบโต๊ะจีน แต่ทางผู้ใหญ่ก็เน้นย้ำว่าต้องมีโต๊ะให้ด้วยนะ)
ดังนั้นผมขอนิยามรูปแบบการจัดงานของผมว่า (ค็อกจีน) ละกันนะคร้าบบบ (ฮา)
– สรุป –
ประเด็นสุดท้ายผมอยากบอกทุกท่าน คือ ไม่ว่าคนกลุ่มไหนจะเลือกจัดงานแบบไหน ถ้าหากเค้าสามารถจัดการได้ ผมว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดีนะครับ เพราะการแต่งงานในวันนี้ไม่ได้หมายความว่าชีวิตในอนาคตของคนทั้งสองคนจะดีขึ้นหรือแย่ลง ดังนั้นไม่ว่างานจะหรูเลิศอลังการแค่ไหนเราก็สามารถจะเลิกกันอยู่ดี เช่นเดียวกันกับการจัดงานแบบประหยัดก็ไม่ได้บอกเหมือนกันว่าคนทั้งสองคนนี้จะมีความสุขในอนาคต
แต่มีสิ่งที่ผมเชื่ออยู่อย่างนึงว่าทำให้ชีวิตคู่ของคนทั้งคนอยู่รอด คือ ทัศนคติในการใช้ชีวิตของคนทั้งคู่ต่างหากล่ะครับ ดังนั้นคำปรามาศทำนองว่า “จัดเสียใหญ่โต” ไม่มีประโยชน์ เพราะคงต้อง “เลิกกัน”ในอนาคตแน่ๆนั้น มันก็ไม่ใช่สิ่งที่เราจะเอาไปตัดสินใครได้เพียงแค่เรามองด้วยสายตาของตัวเองเท่านั้น แต่สิ่งที่เราทุกคนควรระลึกเสมอก็คือ เรามาร่วมแสดงความยินดีกับงานของเค้า มิใช่มาวิจารณ์อย่างเมามันเพื่อสนองความสนุกเพียงชั่วครั้งชั่วคราว
ไม่ว่าเค้าจะจัดงานเลิศหรูซะแค่ไหน และงานย่ำแย่สักเท่าไร ถ้าคนทั้งคู่เป็นสุขใจ เราควรร่วมยินดีไปกับเค้านะครับ
เพราะ…. เค้าไม่ได้เอาเงินของคุณมาใช้!!!!