สิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF)
ในช่วงปลายปีที่แล้ว ผมได้รับคำถามเกี่ยวกับสิทธิประโยชน์ทางภาษีสำหรับกองทุนหุ้นระยะยาว หรือที่เรียกกันย่อๆว่า LTF เป็นจำนวนมากครับ ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง เพื่อให้ลดหย่อนภาษีได้อย่างถูกต้องและไม่มีภาระภาษีย้อนหลัง
ซึ่งโดยส่วนตัวผมคิดว่าเป็นแนวคิดที่ดีในการลดหย่อนภาษีที่ถูกต้องและควรนำมาเป็นทางเลือกในการปฎิบัติ มากกว่าการหลบเลี่ยงโดยไม่ยื่นแบบแสดงรายการนะครับ
ทีนี้เราลองมาดูความหมายของกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) ก่อนครับว่า มันคืออะไรและเหมาะกับใครบ้าง
LTF ย่อมาจากคำว่า Long Term Equity Fund หรือเรียกในชื่อไทยว่า “กองทุนรวมหุ้นระยะยาว” เป็นกองทุนรวมที่เน้นลงทุนในหุ้น โดยทางการสนับสนุนให้จัดตั้งขึ้นเพื่อเพิ่มสัดส่วนผู้ลงทุนสถาบัน (ซึ่งก็คือ กองทุนรวม) ที่จะลงทุนระยะยาวในตลาดหลักทรัพย์ฯ การเพิ่มผู้ลงทุนสถาบันดังกล่าวจะช่วยให้ตลาดทุนไทยมีเสถียรภาพมากขึ้น ทั้งนี้ ผู้ที่ลงทุนใน LTF ที่เป็นบุคคลธรรมดาจะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพื่อเป็นแรงจูงใจในการลงทุน
LTF เหมาะกับคนทุกกลุ่มที่ต้องการลงทุนในหุ้นระยะยาว แต่อาจไม่มีความชำนาญเกี่ยวกับการลงทุนในหุ้น หรือไม่มีเวลา จึงลงทุนผ่านกองทุนรวม ทั้งนี้ ผู้ลงทุนจะต้องเข้าใจและยอมรับความเสี่ยงจากการลงทุน และเงื่อนไขเกี่ยวกับระยะเวลาในการลงทุนได้ นั่นก็คือ ลงทุนแล้วถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปี
สิทธิประโยชน์ที่ได้รับนั้่น ถือว่าน่าสนใจมากๆเลยนะครับ เพราะการลงทุนในครั้งแรกก็จะสามารถได้ “กำไร” ก้อนแรก คือ “การลดหย่อนภาษี” ตามอัตราภาษีที่เราๆท่านๆต้องเสีย เช่น นาย ก เสียภาษีในฐานภาษีอัตราร้อยละ 30 เมื่อซื้อ LTF จำนวน 100,000 บาท ก็เท่ากับว่าประหยัดภาษีได้ถึง 30,000 บาท
นอกจากนั้น ยังได้ประโยชน์จากผลตอบแทนคือ “เงินปันผล” และ “กำไรจากมูลค่าที่เพิ่มขึ้น” อีกด้วยครับ
ทีนี้เรามาดูวิธีการลงทุนที่ถูกต้อง ที่สามารถลดหย่อนภาษีได้ถูกต้อง โดยผมขอสรุปเป็นหัวข้อย่อยๆ 4 ข้อ ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่กฎหมายกำหนดไว้ครับ หากสามารถทำตามข้อเหล่านี้ได้ รับรองว่าสามารถลดหย่อนภาษีได้อย่างสบายใจแน่นอนครับ
1. ลงทุนระยะยาว 5 ปี ขึ้นไป เว้นแต่ทุพพลภาพ หรือตาย
2. ไม่ต้องลงทุนติดต่อกันทุกปี
3. ไม่มีข้อจำกัดเกี่ยวกับเงินลงทุนขั้นต่ำและอาจได้รับเงินปันผล
4. ซื้อหน่วยลงทุนจำนวนไม่เกิน 15 เปอร์เซ็นต์ ของเงินได้ต่อปี แต่ไม่เกิน 500,000 บาท โดยแยกวงเงินต่างหากจากเงินลงทุนใน RMF กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และกองทุน กบข.
ทีนี้มาดูเงื่อนไขอื่นๆและสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่สามารถใช้ได้นะครับ จะมีอยู่สองส่วนคือ ลดหย่อนตอนที่ซื้อกองทุน และ ลดหย่อนกำไรตอนที่ขายกองทุน ดังนี้ครับ
1. ลดหย่อนตอนซื้อ
1.1 ปีแรกที่ซื้อ
(1) ลดหย่อนได้ไม่เกินร้อยละ 15 ของเงินได้ที่ได้รับแต่ไม่เกิน 500,000 บาท
(2) ห้ามขายคืน
1.2 หลังจากซื้อปีแรก
(1) ต้องถือ LTF ที่ลดหย่อนไปแล้วในปีใดต่อเนื่องกันเป็นระยะเวลาไม่น้อยกว่า 5 ปีปฏิทิน เว้นแต่ ตายหรือทุพพลภาพ
(2) หากซื้อ LTF อีกในปีใด ก็ลดหย่อนในปีนั้นได้และต้องปฏิบัติตาม 1.2 (1)
1.3 หากผิดเงื่อนไข (จะพิจารณาเป็นราย LTF ที่ซื้อในแต่ละปี)
– ขายก่อนถือครบ 5 ปีปฏิทิน (เว้นแต่ ตายหรือทุพพลภาพ)
– ต้องนำ LTF ที่ลดหย่อนไปแล้วกลับไปยื่นแบบ ภ.ง.ด. 90, 91 เพิ่มเติม
– มีเงินเพิ่มร้อยละ 1.5 ต่อเดือนหรือเศษของเดือนคำนวณตั้งแต่วันที่พ้นกำหนดยื่นแบบ
2. ยกเว้นกำไรตอนขาย
2.1 ขายเมื่อ ตาย ทุพพลภาพ
2.2 ขายเมื่อถือครบ 5 ปีปฏิทินแล้ว
หมายเหตุ คำว่า ปีปฎิทิน หมายความถึง สิ้นสุดวันที่ 31 ธันวาคมของแต่ละปี ถือว่าเป็น 1 ปีปฎิทิน เช่น ซื้อ LTF ในวันที่ 30 ธันวาคม 2547 ถือว่านับปีที่ 2547 เป็น 1 ปีปฏิทินแล้ว ดังนั้น เมื่อขายหน่วยลงทุน LTF ในวันใดวันหนึ่งในปี 2551 นั้นถือว่าลงทุนมาครบ 5 ปีปฏิทินแล้ว โดยไม่ได้คำนึงว่าต้องถือเต็มปีหรือไม่
กฎหมายที่เกี่ยวข้อง หากสนใจสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่ลิงค์ด้านล่างครับ
– กฎกระทรวงฉบับที่ 266
http://www.rd.go.th/publish/38120.0.html
– กฎกระทรวงฉบับที่ 267
http://www.rd.go.th/publish/39786.0.html