รู้ทะลุ LTF ตอนที่ 1 : เคล็ดลับระดับเมพพพพ FEAT. TIF
สวัสดีมากๆครับ กลับมาพบกันอีกครั้งกับบทความซีรีย์ชุดยาวกันบ้าง แต่ครั้งนี้ @TAXBugnoms ไม่ได้มาคนเดียวโดดๆ เพราะบทความยาวตอนนี้ได้รับเกลียด เอ้ย เกียรติ!!!จากพี่ SJ แอดมินสุดหล่อแห่งเพจการเงินชื่อดังอย่าง Thailand Investment Forum มาช่วยเพิ่มเติมความเข้าใจและอธิบายเคล็ดลับระดับเมพพพในการวางแผนซื้อ LTF รวมถึงแนะนำวิธีการวางแผนลงทุนชนิดที่เรียกได้คำเดียวว่า “เมพขิงๆ” (เอ่อ.. สองคำแล้วนะครับพี่) เรียกได้ว่านอกจากจะได้สิทธิประโยชน์ทางภาษีแล้ว ยังเพิ่มเติมผลประโยชน์ด้านการลงทุนและจัดการสินทรัพย์ไปพร้อมๆกันเลยทีเดียว
LTF มันคืออัลไล!!
ก่อนอื่น… เรามาเริ่มต้นทำความเข้าใจกันก่อนครับว่า LTF ที่เราเรียกๆ กันอย่างคุ้นปากนั้น เป็นตัวย่อมาจากภาษาอังกฤษคือ “Long Term Equity Fund” (แล้วแกจะให้ย่อมาจากภาษาไทยหรือไง อีบักหนอม!!) และมีชื่อเรียกอย่างเป็นทางการในภาษาไทยว่า “กองทุนรวมหุ้นระยะยาว”
LTF คือ กองทุนรวมประเภทหนึ่งที่จัดตั้งขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการลงทุนในระยะยาวพร้อมทั้งจูงใจด้วยสิทธิประโยชน์ทางภาษี ซึ่ง LTF จะเน้นลงทุนในตลาดตราสารทุน หรือตลาดหุ้นเป็นหลัก โดยสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่ผู้ซื้อหน่วยลงทุนจะได้รับ คือ
1) ผู้ลงทุนสามารถนำเงินที่ซื้อหน่วยลงทุนจำนวน 15% ของเงินได้ต่อปี แต่ไม่เกิน 500,000 บาท มาหักจากเงินได้ในปีภาษีที่ลงทุน
2) กำไรที่ได้จากการขายคืนหน่วยลงทุน (Capital Gain) ไม่ต้องเสียภาษี (ถ้าปฎิบัติตามเงื่อนไขอย่างถูกต้อง)
โดยสิทธิประโยชน์ทางภาษีที่เราจะได้รับนั้น ผู้ลงทุนจะต้องปฏิบัติตามเงื่อนไขดังนี้ครับ
1) เมื่อซื้อหน่วยลงทุน LTF แล้ว ต้องถือหน่วยลงทุนไว้ไม่น้อยกว่า 5 ปีปฏิทิน
2) หน่วยลงทุนดังกล่าวไม่สามารถโอน หรือจำนำไปเพื่อเป็นหลักประกันได้
LTF มีกี่ประเภท
ถ้ามองกันแว๊บๆ เผินๆ ผิวๆ หิวๆ (พอ!) คนส่วนใหญ่มักจะเข้าใจว่า LTF มันก็เหมือนๆ กันทั้งนั้นแหละ แต่จริงๆ แล้ว เราสามารถแบ่ง LTF ออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ได้ดังนี้
1) LTF ที่เน้นลงหุ้นเต็มเหนี่ยว สำหรับ LTF ประเภทนี้ เป็นกองทุนที่ตั้งใจลงทุนในหุ้นล้วนๆ ถ้าภาวะตลาดดีก็อาจจะถือหุ้นได้เต็มพอร์ต 100% แต่ในภาวะที่ตลาดแย่ ก็ยังต้องมีหุ้นไว้ไม่ต่ำกว่า 65% ตามระเบียบของ ก.ล.ต. (สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์)
LTF ประเภทนี้เหมาะกับใคร
เหมาะในจังหวะที่ตลาดเป็นขาขึ้น หรือไม่ก็สำหรับคนที่หวังผลตอบแทนเต็มที่ รู้ว่าเสี่ยงแต่คงต้องขอลองงงงง
2) LTF ที่จำกัดสัดส่วนการลงทุนในหุ้น สำหรับ LTF ประเภทนี้จะสามารถลงทุนในหุ้นได้ไม่เกินสัดส่วนที่ระบุไว้ เช่น ไม่เกิน 75% ส่วนที่เหลือจะเป็นเงินสดหรือตราสารหนี้ระยะสั้น นั่นหมายความว่า ถ้าภาวะตลาดดีสุด ๆ ยังไง๊ยังไงก็ไม่สามารถเพิ่มสัดส่วนหุ้นได้เกิน 75% แต่ถ้าในภาวะที่ตลาดแย่ ก็ยังต้องถือหุ้นไว้ไม่น้อยกว่า 65% เหมือนกับกองทุนประเภทแรก
LTF ประเภทนี้เหมาะกับใคร
LTF ประเภทนี้เหมาะกับจังหวะที่ตลาดไม่ดีมาก แต่ก็ยังต้องซื้อไว้เพื่อสิทธิประโยชน์ทางภาษี หรือไม่ก็สำหรับคนที่ไม่อยากรับความเสี่ยงเต็มๆ จากความผันผวนของหุ้น (แต่กำไรก็ไม่ได้เต็มๆเช่นกันนะ)
3) LTF ที่ใช้อนุพันธ์ช่วยลดความผันผวนของราคา สำหรับ LTF ประเภทนี้จะมีการขายสัญญา Futures ควบคู่ไปกับการถือหุ้น ทำให้ผลกำไรขาดทุนจากราคาหุ้นจึงจะถูกหักกลบไปกับมูลค่า Futures นั่นแปลว่า ถ้าหุ้นขึ้นแรง เราจะได้กำไรจากหุ้นแต่จะขาดทุนจาก Futures แต่ในทางกลับกัน ถ้าหุ้นร่วงแรง เราจะขาดทุนจากหุ้น แต่ไปได้กำไรจาก Futures แทน ทำให้ราคาหน่วยลงทุนของ LTF ประเภทนี้จึงจะไม่ค่อยขยับไปไหน
LTF ประเภทนี้เหมาะกับใคร
LTF ประเภทนี้ เหมาะสำหรับการซื้อเพื่อประโยชน์ทางภาษีล้วนๆ ไม่หวังได้กำไรจากการลงทุน แต่อย่างไรก็ตาม LTF ประเภทนี้ทาง ก.ล.ต. ห้ามไม่ให้ซื้อเพิ่มอีกต่อไปแล้ว
แล้วจะรู้ได้ยังไงว่า LTF ที่เราสนใจเป็นประเภทไหน
แหม่… ถ้าอยากรู้ว่า LTF เป็นลักษณะไหน
ลองหาอ่านจากหนังสือชี้ชวนหรือไม่ก็ Fund Fact Sheet ในเว็บไซท์ของบลจ.ได้ทุกแห่งเลยจ้า
.
.
ควรเลือก LTF จ่ายเงินปันผลหรือไม่จ่ายเงินปันผล
โดยปกติแล้ว LTF จะมีทั้งแบบที่ จ่ายเงินปันผล และ ไม่จ่ายเงินปันผล ซึ่งการจ่ายเงินปันผลของกองทุน LTF นั้น กฎหมายกำหนดให้จ่ายได้ไม่เกินกว่าร้อยละ 30 ของกำไรสะสมของกองทุน ซึ่งก็มีหลายคนมีคำถามว่า ควรจะเลือกแบบไหนดีกว่ากัน
จงเลือกกองทุน LTF แบบที่จ่ายเงินปันผล ถ้าคุณเป็นคนที่
อยากได้เงินคืนระหว่างการลงทุน ต้องการกระแสเงินสดมาเป็นระยะๆ
ไม่ชอบความเสี่ยงมากนัก กลัวความผันผวนของราคากองทุน เห็นแล้วใจไม่ใคร่ดี แบ่งกำไรออกมาดีกว่า
จงเลือกกองทุน LTF แบบที่ไม่จ่ายเงินปันผล ถ้าคุณเป็นคนที่
ต้องการเห็นมูลค่าหน่วยลงทุนที่เติบโตได้เร็วกว่าการจ่ายเงินปันผล
ยอมรับความเสี่ยงและความผันผวนได้ค่อนข้างดี รับผลตอบแทนเน้นๆ ตอนขายกันเลยทีเดียว
ข้อแตกต่างที่สำคัญที่สุดระหว่างLTF ที่จ่ายปันผล และ LTF ไม่จ่ายเงินปันผล นั่นคือ เงินปันผลที่เราได้รับนั้น เราต้อง “เสียภาษี” โดยจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ทันทีที่ได้รับเงินปันผลในอัตราร้อยละ 10 และเราสามารถเลือกได้ว่าจะนำเงินปันผลส่วนนี้มารวมคำนวณเป็นเงินได้ตอนปลายปีหรือไม่ ซึ่งถ้าหากนำมารวมคำนวณ ภาษีที่ถูกหัก ณ ที่จ่ายไปนั้นก็สามารถนำมาใช้เครดิตภาษีได้ด้วยคร้าบ
อย่างไรก็ตาม เราสามารถเลือกที่จะไม่ให้ทางบลจ. หักภาษี ณ ที่จ่ายเงินปันผลก็ได้ ซึ่งถ้าเลือกกรณีนี้แล้วเราต้องนำเงินปันผลมารวมคำนวณเป็นเงินได้ตอนปลายปีทั้งจำนวนโดยไม่มีเงื่อนไขครับ
เอาล่ะครับ… ในตอนนี้เราก็รู้จักกับประเภทของ LTF กันไปหมดแล้ว ซึ่งถ้าใครอ่านมาถึงตรงนี้ย่อมจะมีคำถามว่า แล้ว LTF กองไหนที่เราควรจะตัดสินใจเลือกซื้อดีล่ะ กองทุน LTF ที่มีสินทรัพย์รวมเยอะๆอย่างที่เค้าว่ากันหรือไม่ หรือควรจะเป็นกองทุน LTF สไตล์ไหนอย่างไร หวือหวาแค่ไหน หรือช่างแม่มมันดีกว่า ซื้อๆไปเหอะ สำหรับเรื่องพวกนี้นั้น เราจะมาว่ากันในตอนต่อไปคร้าบบบ
สุดท้ายนี้ถ้าใครสนใจติดตามข่าวสารการลงทุนและการบริหารเงิน ขอฝากเพจดีๆอย่าง @Thailand Investment Forum ไว้ในอ้อมใจ แต่ถ้าหากใครสนใจเรื่องภาษีก็แวะมาทักทายกันได้ที่ @TAXBugnoms และถ้าเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ เห็นว่าบทความนี้เป็นประโยชน์ยังไงก็อย่าลืมส่งต่อให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆด้วยนะคร้าบบบ