[บทความวารสาร] สิทธิประโยชน์ทางด้านภาษี “ด้านการอบรมและสัมมนา”
ตีพิมพ์ครั้งแรก : วารสาร CPD Account : November : Vol.10 No.119
สำนักพิมพ์ : ธรรมนิติ
สวัสดีครับท่านผู้อ่านทุกท่าน แหม่ … เผลอแปบเดียวเวลาก็ล่วงเลยผ่านมาจนใกล้จะสิ้นปีแล้ว สำหรับเดือนนี้ก็ถึงเวลาอันสมควรที่เราจะกลับมาพบกันอีกในบทความประจำเดือนเพื่อ Update ความรู้ด้านภาษีกันเหมือนเช่นเคยกับ “บล็อกภาษีข้างถนน” สำหรับบทความในตอนนี้ เราจะมาพูดคุยกันถึงสิทธิประโยชน์ทางด้านภาษีเกี่ยวกับ เรื่อง “การอบรมและสัมมนา” ว่ามีหลักเกณฑ์เงื่อนไขอย่างไรกันบ้างครับ
ในปัจจุบัน อย่างที่เรา ๆ ทราบกันดีว่าการแสวงหาความรู้ใหม่ๆนั้นเป็นเรื่องสำคัญสำหรับองค์กรทุกองค์กร เพราะความรู้ใหม่ๆที่ว่านี้จะทำให้องค์กรเจริญเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งแต่ละองค์กรจะไม่สามารถเติบโตได้ด้วยตัวเอง หากขาดกลุ่มบุคคลสำคัญกลุ่มหนึ่งที่เราเรียกพวกเค้าว่า “พนักงาน” ที่เป็นผู้มาช่วยพัฒนาองค์กรให้ขับเคลื่อนไปข้างหน้า แต่ตัวพนักงานเองนั้นเมื่อปฎิบัติงานซ้ำๆก็อาจจะเกิดความเคยชินและไม่มีการพัฒนาจนทำให้ขาดประสิทธิภาพในการทำงาน ดังนั้น ผู้บริหารขององค์กรจึงต้องพยายามนำองค์ความรู้ใหม่ๆมาช่วยผลักดันให้พนักงานเหล่านี้มีความสามารถเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งวิธีการเหล่านี้เรามักจะเรียกว่า “การฝึกอบรม (Training)” นั่นเอง
โดยการฝึกอบรมที่ว่านี้ ทางประมวลรัษฎากรนั้นได้ให้วิธีการในการประหยัดภาษีไว้ด้วย เพื่อเป็นการผลักดันให้ทางองค์กรต่างๆมีแรงจูงใจในการฝึกอบรมพนักงาน เรียกได้ว่าตัวองค์กรเองก็มีองค์ความรู้เพิ่มขึ้นที่จะนำไปพัฒนา แถมยังได้สิทธิประโยชน์ดีๆอย่างการประหยัดภาษีมาเป็นของแถมอีกด้วยน่ะครับ แต่ของแบบนี้ก็ต้องมีเงื่อนไขให้ปฎิบัติตามกันหน่อย
เอาล่ะครับ เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา เรามาเริ่มต้นพูดคุยกันในตัวกฎหมายที่เกี่ยวข้องตัวแรก คือ “พระราชกฤษฎีกาออกตามความในประมวลรัษฎากรว่าด้วยการยกเว้นรัษฎากร (ฉบับที่ 437)” ว่าด้วยเรื่องของการยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งลูกจ้างไปฝึกอบรม หรือในการฝึกอบรมลูกจ้างของตนเอง โดยเราจะมีวิธีการหักลดหย่อนตามประเภทของการฝึกอบรมออกเป็นสองกรณีดังนี้ครับ
กรณีส่งลูกจ้างไปฝึกอบรม
ตามมาตรา 4 (1) ของพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 437 กำหนดให้กิจการได้รับยกเว้นเงินได้เป็นจำนวน ร้อยละร้อย ของรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายในการส่งลูกจ้างเข้ารับการศึกษาหรือฝึกอบรมในสถานศึกษาหรือสถานฝึกอบรมฝีมือแรงงานที่ทางราชการจัดตั้งขึ้นหรือที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา
จากข้อความดังกล่าวข้างต้น เราจะสังเกตเห็นคำว่า “สถานฝึกอบรมฝีมือแรงงานฯ ตามที่ประกาศกำหนดในราชกิจจานุเบกษา” ซึ่งหลายๆท่านอาจจะสงสัยขึ้นมาว่า เอ… แล้วมันคืออะไรกันน้อออ กฎหมายมักจะบอกไม่หมดทุกทีเลย (แอบเซ็ง) ดังนั้นขอแนะนำต่อว่าเราต้องไปติดตามต่อไปใน ประกาศกระทรวงการคลังเรื่อง การกำหนดสถานศึกษาหรือสถานฝึกอบรมฝีมือแรงงานที่รับลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลเข้าศึกษาหรือฝึกอบรม ซึ่งได้ระบุประเด็นสำคัญไว้ดังนิ้ครับ
“สถานศึกษาหรือสถานฝึกอบรมฝีมือแรงงานที่จะให้บริการการศึกษาหรือฝึกอบรมต้องเป็นสถานศึกษา ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน สถาบันอุดมศึกษาเอกชน ตามกฎหมายว่าด้วยสถาบันอุดมศึกษาเอกชน หรือสถานฝึกอบรมฝีมือแรงงานเฉพาะที่มีฐานะเป็นมูลนิธิ สมาคม บริษัทที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายไทยหรือนิติบุคคลอื่นที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายเฉพาะ” และ “การให้บริการการศึกษาหรือฝึกอบรมต้องเป็นการศึกษาหรือฝึกอบรมในประเทศไทยเพื่อพัฒนาคุณภาพ ความรู้ ความสามารถ ทักษะ ฝีมือของลูกจ้างให้สูงขึ้น ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ของกิจการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่เป็นนายจ้าง”
และที่สำคัญที่สุดต้องมีหลักฐานที่สำคัญอย่าง “ใบเสร็จรับเงิน” เพื่อใช้เป็นหลักฐานประกอบการใช้สิทธิยกเว้นภาษีเงินได้สำหรับเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นๆด้วยนะครับ
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนนี้นั้น ท่านผู้อ่านสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากเวปไซด์ของกรมสรรพากรที่
http://www.rd.go.th/publish/30049.0.html
กรณีฝึกอบรมด้วยตัวเอง
ตามมาตรา 4 (2) ของพระราชกฤษฎีกาฉบับที่ 437 กำหนดให้กิจการได้รับยกเว้นสำหรับเงินได้เป็นจำนวนร้อยละร้อยของรายจ่ายที่ได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมให้แก่ลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ทั้งนี้ ตามหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขที่อธิบดีกรมสรรพากรประกาศกำหนด
โดยหลักเกณฑ์ดังกล่าวนั้น เราจะอ้างอิงจาก ประกาศอธิบดีกรมสรรพากรเกี่ยวกับภาษีเงินได้ (ฉบับที่ 148) เรื่อง กำหนดหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการยกเว้นภาษีเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลสำหรับเงินได้ที่ได้จ่ายไปเป็นค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมให้แก่ลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น ได้กำหนดเงื่อนไขสำคัญไว้ดังนี้ว่า
1. การอบรมต้องเป็นไปเพื่อประโยชน์ของกิจการของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลหรือกิจการของนายจ้าง
2. ลูกจ้างที่เข้ารับการฝึกอบรม ต้องเป็นลูกจ้างของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้น โดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลนั้นต้องจัดทำทะเบียนลูกจ้างตามกฎหมายว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานเพื่อเป็นหลักฐานการทำงานของลูกจ้างต้องเป็นหลักสูตรที่จัดขึ้นเพื่อพัฒนาฝีมือแรงงานของลูกจ้าง
3. หลักสูตรในการอบรมต้องได้รับการรับรองจากกระทรวงแรงงานและค่าใช้จ่ายในการฝึกอบรมลูกจ้างแต่ละคนนั้นต้องเป็นไปตามอัตราที่ได้รับอนุมัติจากกระทรวงแรงงาน
สำหรับรายละเอียดเพิ่มเติมในส่วนนี้นั้น ท่านผู้อ่านสามารถอ่านเพิ่มเติมได้จากเวปไซด์ของกรมสรรพากรที่
http://www.rd.go.th/publish/29755.0.html
จากที่กล่าวมาทั้งหมดข้างต้น ถือเป็นเรื่องราวดีๆในการลดหย่อนภาษีอีกหนึ่งเรื่องที่ไม่ควรมองข้ามเลยนะครับ และหากท่านผู้อ่านมีข้อสงสัยก็สามารถสอบถามเพิ่มเติมได้ที่ทางเพจ “บล็อกภาษีข้างถนน” ได้ตลอดเวลาเลยนะคร้าบบบบ