กลับมาต่อกันในตอนที่ 2 ของบทความขายของออนไลน์ เค้าเสียภาษีกันยังไง หลังจากที่เมื่อวาน “ตอนที่ 1” ได้พูดถึงเรื่องของทฤษฎีกันไปแล้ว วันนี้เราจะมาพูดคุยกันต่อในเรื่องการปฎิบัติและวิธีการคำนวณภาษีกันบ้างครับ ว่าต้องทำยังไงถึงจะเรียกได้ว่าไม่มีปัญหากับพี่สรรพากร

เมื่อวาน @TAXBugnoms พูดให้ฟังถึงเรื่องการคำนวณภาษีว่า การขายของออนไลน์นั้น มีวิธีการหักค่าใช้จ่ายอยู่สองวิธี ได้แก่ การหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา และ การหักค่าใช้จ่ายแบบตามจำเป็นและสมควร ทีนี้มีคำถามต่อว่า… สำหรับวิธีการเลือกหักค่าใช้จ่ายแต่และแบบนั้น ควรจะเลือกแบบไหนกันดี แนะนำให้พิจารณาแบบนี้ครับ

ถ้าเป็นการขายของออนไลน์ทั่วไป เช่น เสื้อผ้า ของใช้ เครื่องสำอางค์ ฯลฯ ประเภทสิ่งของจับต้องได้ต่างๆ แนะนำให้หักค่าใช้จ่าย “แบบเหมา” โดยสามารถเลือก หักเหมาได้ในอัตรา 80% แต่ถ้าหากใครมั่นใจว่าสามารถหักค่าใช้จ่ายตามจำเป็นและสมควร (ตามจริง)ได้ ก็ขอแนะนำว่าให้มั่นใจว่าเอกสารหลักฐานที่เรามีนั้นครบถ้วนถูกต้องอย่างแน่นอนนะครับ มิฉะนั้นอาจจะมีปัญหากับพี่ๆสรรพากรได้

แต่ถ้าหากเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ อยากจะเลือกค่าใช้จ่ายแบบตามจำเป็นและสมควรจริงๆ เรามีแนวทางในการพิจารณาดังนี้คร้าบ

1) ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องและจำเป็นต่อการประกอบธุรกิจ หมายถึง ค่าใช้จ่ายที่จะนำมาเป็นรายจ่ายได้ต้องเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจของเราเป็นหลัก ตัวอย่างเช่น ประกอบกิจการให้เช่าที่ดิน แต่ดันมีค่าน้ำมันมาเป็นค่าใช้จ่าย หรือประกอบกิจการขายเครื่องใช้สำนักงาน แต่ดันเบิกค่าอาบน้ำน้องหมา อันนี้ก็ดูแปลกๆไปหน่อยครับ

2) เป็นจำนวนที่สมควรและเหมาะสมแก่กิจการ โดยปกติแล้ว เวลาเราทำงานอะไรนั้น ก็ควรจะหวังจะได้ “กำไร” จากการทำงานนั้นๆ ใช่ไหมครับ คงไม่มีใครคิดอยากจะทำงานฟรีๆ และในส่วนนี้เราอาจจะพิจารณาเองก่อนว่า อย่างน้อยค่าใช้จ่ายทั้งหมดที่จ่ายไปนั้น ไม่ควรทำให้กิจการของเรามีกำไรน้อยกว่าปกติทั่วไป หรือบางครั้งขาดทุนตลอดเวลา ซึ่งตรงนี้คงต้องลองดูแนวโน้มธุรกิจใกล้เคียงกันในตลาด หรือถ้าไม่อยากลำบากตีความให้เสียเวลา แนะนำให้ลองเซย์ฮัลโหลสอบถามพี่สรรพากรดูเลยครับ รับประกันได้ว่าพี่แกไม่กัดแน่นอน

3) ไม่เป็นรายจ่ายที่กฎหมายห้ามมิให้หักเป็นรายจ่าย รายจ่ายบางรายการนั้น กฎหมายไม่ให้ถือเป็นรายจ่ายในการคำนวณภาษี เช่น รายจ่ายที่ผิดกฎหมาย (เอิ่ม..มีใครกล้าเอารายจ่ายที่ผิดกฎหมายมาเป็นรายจ่ายไหมครับ TwT)

4) ต้องมีหลักฐานการใช้จ่าย ข้อนี้สำคัญมากและเน้นย้ำๆเลยว่าสำคัญที่สุดครับ เพราะหลักฐานเพียงแค่หนึ่งใบสามารถแทนคำพูดได้เป็นร้อยคำ หากเราบอกว่าจ่ายไปแล้วแต่ไม่มีหลักฐาน งานนี้อมพระมาพูดพี่สรรพากรก็ไม่เชื่อครับ (อย่าว่าแต่พี่สรรพากรเลยครับ ผมยังไม่เชื่อเลย) ดังนั้นเราควรเก็บหลักฐานให้เรียบร้อยด้วยนะครับ

ส่วนการเลือกว่าจะหักค่าใช้จ่ายแบบไหนในการคำนวณภาษีเงินได้นั้น เราไม่จำเป็นต้องเลือกแล้วเลือกเลยนะครับ ประมวลรัษฏากรให้สิทธิเลือกวิธีการหักค่าใช้จ่ายได้ปีต่อปีว่า ปีไหนจะหักค่าใช้จ่ายแบบเหมา หรือปีไหนจะหักค่าใช้จ่ายตามความจำเป็นและสมควร

และถ้าหากเรามีเงินได้หลายประเภท แต่ละประเภทก็สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายไม่เหมือนกันได้ครับ เช่น เลือกหักเหมาสำหรับเงินได้ค่าเช่า (ประเภทที่ 5) แต่ไปเลือกหักตามจำเป็นและสมควรสำหรับเงินได้รับเหมาก่อสร้าง (ประเภทที่ 7) แต่สิ่งสำคัญคือ เมื่อเราเลือกหักค่าใช้จ่ายตามวิธีไหนไปแล้ว จะต้องใช้วิธีเดียวกันสำหรับเงินได้ประเภทนั้นๆ นะครับ ไม่ใช่ ค่ารับเหมาก่อสร้างงานแรกหักแบบเหมา แต่ค่ารับเหมาก่อสร้างงานหลังหักแบบจริง แบบนี้ไม่ได้ครับ!

วิธีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับธุรกิจออนไลน์

เอาล่ะ.. ทีนี้เรามาดูตัวอย่างสำหรับ วิธีการคำนวณภาษีเงินได้สำหรับคนขายของออนไลน์กันดีกว่าครับ ว่าต้องทำอย่างไรแบบไหนบ้าง เอาเป็นตัวอย่างเข้าใจสั้นๆง่ายๆแบบนี้ละกันครับ ..

สมมุติว่า… นายเห่าเปิดร้านขายเสื้อผ้าออนไลน์สำหรับท่านชาย มีรายได้ตลอดทั้งปี 4,000,000 บาท และตัวนายเห่าเองนั้นเป็นหนุ่มโสดสนิท ดังนั้นนายเห่าจะต้องเสียภาษีอย่างไร เรามาดูกันเลยครับ

1. วิธีคำนวณภาษีจากเงินได้สุทธิ = (รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อน) x อัตราภาษี

1) รายได้ของนายเห่า 4,000,000 บาท
2) ค่าใช้จ่ายของนายเห่า 80% x 4,000,000 บาท = 3,200,000 บาท
3) ค่าลดหย่อนส่วนตัวของนายเห่า 30,000 บาท
4) นำ 1 – 2 – 3 = 770,000 บาท
5) ภาษีที่คำนวณได้ คือ 69,000 บาท

2. วิธีคำนวณภาษีจากเงินได้พึงประเมิน = รายได้ x 0.5%

ภาษีตามวิธีที่ 2 = 4,000,000 x 0.5% = 20,000 บาท

เมื่อเปรียบเทียบภาษี ตามข้อ 1. และข้อ 2.
เราจะเลือกวิธีที่คำนวณได้ภาษีมากกว่า คือ 69,000 บาท

สำหรับวิธีการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานั้น มีวิธีการคำนวณง่ายๆสั้นๆ แค่นี้เองครับ ถ้าหากใครสงสัยอะไรก็คอมเม้นท์คำถามไว้ได้ครับ อาจจะไม่ได้ตอบทุกคำถามนะครับ แต่จะรวบรวมมาเขียนบทความให้อีกครั้งหนึ่งคร้าบบบบ