fbpx

ภาษีโรงเรียนกวดวิชา : เพราะโลกนี้ไม่มีอะไรฟรี เราเลยต้องเก็บภาษีค่าเรียนรู้

โพสต์เมื่อ: 16 ก.ค. 2015

ป้ายกำกับ: ,


สวัสดีครับ กลับมาพบกับบล็อกประจำสัปดาห์กับพรี่หนอมแห่งบล็อกภาษีข้างถนน (TAXBugnoms) อีกคร้งหนึ่งครับ สำหรับสัปดาห์นี้ มีเรื่องภาษีที่ใครหลายๆคนพูดถึง คือ เรื่องของการพัฒนาทิศทางการเก็บภาษีของรัฐบาลชุดนี้ (อ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ 8 นโยบายภาษี ที่พี่ๆ คสช. เค้าจะปฎิรูป) ซึ่งผลของการเปลี่ยนแปลงจากวันนั้นถึงวันนี้ คือ เรื่องภาษีโรงเรียนกวดวิชา นั่นเองครับ

จากเดิมที่เราเข้าใจว่า โรงเรียนกวดวิชาทั้งหลายนั้นไม่เสียภาษี ตามกฎหมายที่ประกาศไว้ตามมาตรา 42 และกฎกระทรวง 126 แห่งประมวลรัษฏากร ได้ถูกแก้ไขเพิ่มเติมตามพระราชกฤษฎีกาฯ (ฉบับที่ 588 ถึง 590) และกฎกระทรวง ฉบับที่ 307 ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 11 กรกฎาคม 2558 ที่ผ่านมา โดยสามารถสรุปใจความได้ดังนี้ครับ (รายละเอียดสามารถอ่านเพิ่มเติมได้ที่เวปไซด์กรมสรรพากร หรือคลิกที่ชื่อพระราชกฤษฏีกาได้เลยครับ)

พระราชกฤษฏีกา ฉบับที่ 588  แก้ไขให้ยกเลิกสิทธิในการยกเว้นกำไรสุทธิที่ต้องเสียภาษีและเงินปันผลหรือส่วนแบ่งกำไรที่ได้รับ สำหรับโรงเรียนเอกชนนอกระบบประเภทโรงเรียนกวดวิชาที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน

พระราชกฤษฏีกา ฉบับที่ 589 แก้ไขให้ยกเลิกสิทธิยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคลสำหรับมูลนิธิหรือสมาคม ที่ได้รับเงินได้จากโรงเรียนกวดวิชาที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน

พระราชกฤษฏีกา ฉบับที่ 590 ยกเว้นภาษีทั้งหมดในส่วนที่เป็นการโอนกรรมสิทธิหรือสิทธิในการครอบครองที่ดิน ให้แก่โรงเรียนเอกชน ต่างๆทั้งหมดทั้งสิ้น เพื่อปรับปรุงสิทธิประโยชน์ทางภาษีตามประมวลรัษฎากร ให้สอดคล้องกับพระราชบัญญัติโรงเรียนเอกชน เพื่อยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์สำหรับการโอนกรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินใดๆ ให้โรงเรียนเอกชน และการโอนกลับคืนเมื่อเลิกใช้ประโยชน์ และยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ให้ผู้บริจาคทรัพย์นั้นๆ แก่โรงเรียนเอกชนและการโอนกลับคืนเมื่อเลิกใช้ประโยชน์

กฎกระทรวงฉบับที่ 307 แก้ไขให้ยกเลิกการยกเว้นเงินปันผลสำหรับโรงเรียนเอกชนนอกระบบประเภทโรงเรียนกวดวิชา รวมถึงการยกเว้นเงินหรือผลประโยชน์ที่ได้รับจากกองทุนสงเคราะห์ตามกฎหมายว่าด้วยโรงเรียนเอกชน

โดยประเด็นสำคัญของกฎหมายฉบับที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ที่ @TAXBugnoms จะมาสรุปให้ฟัง คือ เรื่องของการเปลี่ยนแปลงจัดเก็บภาษีจากกิจการ โรงเรียนกวดวิชาที่ตั้งขึ้นว่าด้วยกฎหมายโรงเรียนเอกชน ให้มีหน้าที่ต้องเสียภาษีนั่นเองครับ โดยภาษีที่ว่าก็คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา และภาษีเงินได้นิติบุคคล สำหรับโรงเรียนกวดวิชาทีมีรายได้จากการดำเนินในแต่ละรูปแบบนั่นเองครับ สำหรับรายละเอียดที่น่าสนใจ แนะนำให้อ่านเพิ่มเติมทีบทความ เรื่อง กรมสรรพากรแจกแจงผู้ประกอบการโรงเรียนกวดวิชากว่า 2,000 คน พร้อมเก็บภาษีกลางปี 2558

ดังนั้น ตั้้งแต่วันที่ 11 กรกฏาคมเป็นต้นไป โรงเรียนกวดวิชาทั้งหลายนั้นต้องเข้าสู่รูปแบบการเสียภาษีอย่างเต็มตัวแล้วครับ ซึ่งจากข้อมูลจากบทความ มติ ครม. เก็บภาษีโรงเรียนกวดวิชา คลังคาดเก็บได้ 1,200 ล้านต่อปี ของเวปไซด์ Thaipublica.org พบว่า มีนักเรียนเข้าสู่โรงเรียนกวดวิชาถึง 535,695 คน จากจำนวนโรงเรียน 2,343 โรงเรียน และครูจำนวน 14,009 คน

Print

แล้วตัวเลขจากรูปนี้บอกอะไรเรา? มันกำลังบอกเราว่า ธุรกิจโรงเรียนกวดวิชานี้ มีกำไรจนที่รัฐต้องใส่ใจมาเก็บภาษี และคือสิ่งที่ดีเพื่อสร้างความเท่าเทียมให้แก่สังคมไทย

แต่ถ้าเราลองตั้งคำถามกลับไปว่า ผลของการจัดเก็บภาษีนี้ มีผลต่อเด็กและสังคมไทยอย่างไรบ้าง เด็กจะเลิกกวดวิชาเลยไหม คำตอบก็คงไม่อยู่ดีใช่ไหมล่ะครับ

ถ้ามองในแง่ของธุรกิจ ถ้ามีต้นทุนเพิ่มสูงขึ้นแล้ว ธุรกิจจะทำอย่างไรต่อไป คำตอบที่คิดง่ายๆแบบบ้านๆ คือ การเพิ่มราคาเพื่อชดเชยภาษีที่ต้องจ่ายหรือเพิ่มจำนวนการขายให้มากขึ้นแทน ถ้าธุรกิจเลือกจะเพิ่มราคาขาย ผู้ปกครองก็ย่อมจะต้องรับภาระจ่ายแพงขึ้นอยู่ที่ว่าการจ่ายนั้นจะกระทบภาระแค่ไหน และมีปัญหายังไงต่อเศรษฐกิจในครอบครัว

แน่นอนละครับว่า รัฐบาลไม่สามารถที่จะควบคุมดูแลในส่วนนี้ได้อย่างเต็มที่ อย่างมากก็คือการ “ขอความร่วมมือ” แกม “บังคับ” เพื่อให้ไม่เอารัดเอาเปรียบกับผู้บริโภคมากเกิน แต่คำถามก็ยังตามมาอยู่ดีว่า… แล้วผู้บริโภคสนใจหรือเปล่าในเรื่องของการขึ้นราคา เพราะการจ่าย “มากกว่า” เพื่อ “โอกาส” ที่เป็นทางออกของโอกาสในอนาคตของลูกหลานนั้น จะมีผู้ปกครองคนไหนนัันใจดำมองข้ามไปได้

ในขณะเดียวกัน ถ้าธุรกิจโรงเรียนกวดวิชาเลือกที่จะเพิ่มจำนวนการขาย มันคือการตอกย้ำว่าระบบการศึกษาไทยกำลังถูกทำลายด้วยการกวดวิชาหรือเปล่า? หรือ มันคือการบอกเราว่า ระบบของรัฐนั้นไม่สามารถบรรลุวัตถุประสงค์ของการศึกษาได้ และถ้าโรงเรียนกวดวิชาเลือกที่จะเพิ่ม “ราคา” และ “ปริมาณ” เพื่อสร้างความสามารถในการแข่งขัน เราจะมีอะไรไปต่อสู้เพื่อจะยืนยันผลประโยชน์ของตัวเองบ้าง

โดยส่วนตัวแล้ว ถ้ามองเพียงแต่นโยบายภาษี มันดูไปแล้วคงเป็นเรื่องดีที่น่าเห็นด้วยกับการจัดเก็บภาษีธุรกิจที่มีกำไรสูงเหล่านี้ เพื่อเพิ่มความเป็นธรรมในระบบภาษ๊ เพราะเป็นกิจการที่มุ่งหวังกำไรจึงควรจ่ายภาษีไปอย่างเท่าเทียมกัน

แต่ถ้ามองในด้านอื่นๆประกอบกันทั้งหมดแล้ว เราอาจจะกำลังหลงทาง? หรือว่าคือคำยอมรับข้ออ้างของความพ่ายแพ้ระบบการศึกษาไทยกันแน่ล่ะครับ..

error: เว็บไซต์ป้องกันการ copy