fbpx

ออมแล้วไปไหน? : แบ่งปันแนวคิดการออมจากชีวิตจริงของผม

โพสต์เมื่อ: 09 ก.ย. 2015

ป้ายกำกับ: ,


สวัสดีคร้าบบ กลับมาพบกันกับบทความใหม่ใน บล็อกภาษีข้างถนน กับพรี่หนอม @TAXBugnoms กันอีกครั้งหนึ่ง ในวันนี้ขอพักเรื่องราวหนักๆอย่างภาษีมาแชร์เรื่องเบาๆอย่าง ประสบการณ์การออมเงินของตัวเอง บ้างดีกว่าครับ

แต่ก่อนจะเข้าเรื่องของการออม ผมขอเล่าประวัติตัวเองสักเล็กน้อยให้ฟังครับว่า ผมเริ่มต้นจากการเขียนงานในบล็อกภาษีข้างถนนและแฟนเพจ @TAXBugnoms จนมาถึงช่วงกลางปี 2557 ได้เข้ามาร่วมงานกับทาง Aommoney.com โดยเนื้อหาที่เขียนนั้นจะเป็นในเรื่องของภาษี การเงิน และบัญชี  ซึ่งความรู้ด้านภาษีและบัญชีนั้นมาจากการที่มีประสบการณ์ทำงานและได้ร่ำเรียนมา แต่ความรู้ทางการเงินนั้นมาจากประสบการณ์จริงๆในชีวิตที่สังสมมาเรื่อยๆครับ

โดยประสบการณ์เรื่องออมเงินที่ผมจะเล่าให้ฟังต่อจากนี้ ส่วนหนึ่งนำมาจากคำถามในงานที่ได้ไปร่วมเสวนาในวันออมแห่งชาติกับธนาคารแห่งประเทศไทยเมื่อเดือนตุลาคมของปีที่ผ่านมาครับ ผมคิดว่าแนวคิดบางอย่างที่เคยบันทึกไว้น่าอาจจะมีประโยชน์หรือเป็นกำลังใจในการเริ่มต้นออมเงินให้กับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ เลยตัดสินใจเอามาแบ่งปันให้ฟังกันครับ (เอาจริงๆ คือผมเพิ่งไปค้นไฟล์เจอมานั่นเอง ..แป่ว – -“) และเพื่อไม่ให้เสียเวลากันไปมากกว่านี้ … เรามาเริ่มต้นกันเลยดีกว่าครับ

ทำไมเราถึงต้องออมเงิน?

ผมเองเคยตั้งคำถามว่า ทำไมเราต้องออมเงิน? ซึ่งคำตอบตามทฤษฏีหรือที่นักวางแผนการเงินทั้งหลายพูดกัน ก็คงออกมาเป็นคำตอบว่า… เราต้องออมเพื่อสำรองเงินจำนวนหนึ่งไว้ใช้ในยามจำเป็น ซึ่งเงินออมนั้นมาจากส่วนต่างของรายได้กับค่าใช้จ่าย ยิ่งเราออมได้มาก มันก็เป็นสิ่งหนึ่งที่รับประกันว่า เมื่อเราต้องเจอความเสี่ยงในอนาคต มันก็ยิ่งทำให้เราปลอดภัยมากขึ้น

แต่ถ้าตอบตามความรู้สึกผมเอง ผมคิดว่ามันคงเหมือนกับคำถามที่ว่า คุณไม่เก็บอาหารสำรองไว้ในตู้เย็นได้หรือเปล่า ในสถานการณ์ปกติ เราอาจจะซื้ออาหารข้างนอกกินได้เรื่อยๆ แต่ถ้าวันนึงเกิดเรื่องที่ทำให้เราไม่สามารถหาซื้อกินได้ ทีนี้ล่ะปัญหามันก็มาแน่ๆว่าเราจะเอาอะไรกินในวันนี้และวันต่อๆไป

ออมแล้วได้อะไร?

จากประสบการณ์ของผม ผมเชื่อว่าการออมเป็นการสร้างสิ่งสำคัญอีกหนึ่งอย่างตามมา นั่นคือ “วินัย” เพราะถ้าเราได้เริ่มต้นที่จะตั้งใจจัดการด้านการวางแผนการเงินของตัวเอง การออมเป็นเรื่องแรกที่เราสามารถทำได้ไวที่สุด (ถ้าไม่นับการลดค่าใช้จ่ายแบบทันทีนะครับ แฮร่)

แต่เอ๊ะ!! เรามีเงินเดือนน้อย ค่าใช้จ่ายต่อเดือนก็มาก จะให้ออมยังไงได้ล่ะ บางคนอาจจะตั้งคำถามขึ้นมาแบบนี้ ผมเลยมักจะถามกลับไปว่า แล้ววันนี้คุณเริ่มเก็บเงิน 1 บาทได้หรือยัง? ถ้าเก็บได้ก็แปลว่าคุณออมได้แล้วล่ะ เพราะถ้าเราเริ่มต้นที่จะรู้จักการออม นั่นคือถือว่าเราได้เริ่มต้นวางแผนการเงินของตัวเองแล้ว จะออมพอหรือไม่พอนั้นผมมองว่ามันไม่สำคัญเท่ากับว่าเราได้ลงมือทำแล้วหรือยัง

 

เฮนรี่ ฟอร์ด เคยบอกไว้ว่า  “ไม่ว่าคุณจะคิดว่า คุณสามารถทำได้ หรือ ทำไม่ได้ คุณก็คิดถูกต้องเสมอ” ผมว่าคำกล่าวนี้อาจจะเป็นเหตุผลที่ดีสำหรับใครหลายคนไม่สามารถออมเงินได้นะครับ :)

ออมแค่ไหน.. สุดท้ายแล้วก็ต้องไปลงทุน

แน่นอนว่าการออมเงินย่อมได้รับผลตอบแทนน้อยนิดกระจ้อยร่อย เพราะเราเพียงต้องการเก็บเงินไว้สำรองเท่านั้น ดังนั้นเราต้องรู้จักเพิ่มมูลค่าของเงินออมส่วนที่เกินกว่าเงินออมฉุกเฉิน (คิดเป็นจำนวนที่ต้องใช้จ่าย 3-6 เดือน) ด้วยการลงทุน

ซึ่งการลงทุนที่ดีที่สุดลำดับแรกเลย คือ การลงทุนในตัวเอง เราควรหาความรู้ก่อนว่า เราต้องการผลตอบแทนแค่ไหน และ เรารับความเสี่ยงได้แค่ไหน แล้วปรับใช้ความรู้เกี่ยวกับการลงทุนมาผสมปนเปออกมาเป็นสูตรของเราเอง

โดยส่วนตัวผมลงทุนในสินทรัพย์ทุกประเภทครับ หุ้น กองทุนรวม เงินฝากสหกรณ์ เงินฝากประจำ สลากออมสิน หรือแม้แต่ทองคำ แต่เน้นการลงทุนในสัดส่วนที่เหมาะสมตามความเสี่ยงที่คิดว่าตัวเองยอมรับได้และทำการปรับเปลี่ยนในพอร์ทการลงทุนในทุกๆปีครับ

สุดท้ายแล้ว..มีเงินเท่าไรถึงจะพอ?

ทีนี้.. หลายคนอาจจะสงสัยว่า จริงๆ แล้วในทุกๆ เดือน ตัวเราก็ถูกบังคับออมไปแล้ว ไม่ว่าจะเป็นประกันสังคม กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ แบบนี้มันยังไม่พออีกหรอ? ต้องไปลงทุนบ้าบออะไรอีกหรอ?

คำถามที่ว่าเงินแค่นี้พอหรือไม่ คงต้องกลับไปถามต่อว่าทรัพย์สินและเงินที่เรามีนั้น เรารู้หรือยังว่ามันมีไว้เพื่อใช้อะไรต่อไปในอนาคตบ้าง เพราะคำว่าพอหรือไม่นั้น มันอยู่ที่ความต้องการของเราครับ และการลงทุนก็เป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เราไปถึงจำนวนเงินที่เป็นเป้าหมายของเราได้เร็วขึ้น

บางคนบอกว่าอยากจะมีเท่านั้นเท่านี้ มี 100 ล้าน 1,000 ล้าน ถึงจะเรียกว่าพอ ผมอยากให้ลองถามตัวเองก่อนว่าเราต้องการอะไรกันแน่? ลองคำนวณเป้าหมายออกมาดูก่อนครับว่า ทั้งชีวิตเรานั้นต้องการใช้แค่ไหน และอะไรคือสิ่งสำคัญทีสุดในชีวิตของเรา

ถ้าทุกวันนี้ค่าใช้จ่ายเราเยอะมากจนเรียกได้ว่าไม่สามารถออมได้ เราคงต้องถามว่าตัวเราเองลดค่าใช้จ่ายหรือไม่ ถ้าลดแล้วทุกอย่างในโลกนี้ยังจำเป็นหมดเลย ทางแก้ที่ดีที่สุดคือการสร้างรายได้ เพราะทุกวันนี้ ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรก็ตาม เราจำเป็นต้องมีรายได้มากกว่าหนึ่งช่องทาง และสุดท้ายเมื่อลดรายจ่ายถึงจุดหนึ่ง เราจะไม่สามารถลดได้อีกต่อไป หนทางสุดท้ายในชีวิตก็คือการเพิ่มรายได้ โดยใช้ทรัพยากรที่มีค่าที่สุดที่เรามี นั่นคือ “ตัวเราเอง”

สุดท้ายแล้ว การออมและการลงทุนทั้งหมดที่ว่ามานี้มันเป็นเพียงส่วนหนึ่งของการวางแผนการเงิน และมันยังเป็นเพียงเศษเสี้ยวของการวางแผนชีวิตที่ดีของเราทุกคนครับ  สุดท้ายแล้วผมหวังว่าสิ่งที่ผมเขียนขึ้นมานี้อาจจะเป็นสิ่งที่กระตุ้นให้ใครหลายคนเริ่มต้นที่จะออมเงิน หรือเห็นความสำคัญของการออมเงินขึ้นมาบ้างไม่มากก็น้อยคร้าบ

error: เว็บไซต์ป้องกันการ copy