[แชร์ประสบการณ์] 3 เรื่องเงินที่ผมพลาดในปี 2015 และจะมาแก้ไขในปี 2016
ก่อนอื่นคงต้องขอกล่าวคำว่า “สวัสดีปีใหม่” อย่างเป็นทางการอีกครั้งในปี 2016 ครับ!! และผมขอขอบคุณทุกๆคนที่คอยติดตามเพจ @TAXBugnoms มาโดยตลอดครับ หวังว่าปีนี้คงจะมีอะไรใหม่ๆเพิ่มเติมใน “บล็อกภาษีข้างถนน” และ “Aommoney.com” ให้เพื่อนๆพี่ๆน้องๆทุกท่านคอยติดตามกันต่อไปครับ (ยังไงขอฝากตัวด้วยนะคร้าบ = =”)
สำหรับบทความแรกของปี 2016 นี้ ผมอยากเริ่มต้นจากการชวนเพื่อนๆพี่ๆน้องๆ มาทบทวน เรื่องที่ทำผิดพลาด ไว้ในปีที่แล้วก่อนครับ อย่างตัวผมเองนั้นได้เริ่มต้นโดยการเขียนเรื่องราวทบทวนและเปลี่ยนแปลงการตั้งเป้าหมายในปีใหม่ไว้ใน Storylog ถึง 2 บทความ ได้แก่ 163 : ความผิดพลาดที่ผ่านมาในปี 2015 และเป้าหมายที่จะมาในปี 2016 (1) และ 164 : ความผิดพลาดที่ผ่านมาในปี 2015 และเป้าหมายที่จะมาในปี 2016 (2) ซึ่งพูดถึงภาพรวมของเป้าหมายชีวิตและสิ่งที่เกิดขึ้นในปีที่ผ่านมาของผม ก่อนที่มันจะถูกเปลี่ยนแปลงเป็นเป้าหมายในปีใหม่ที่มาถึงเมื่อไม่นานมานี้
#เรื่องเงินก็เช่นกัน สำหรับเรื่องราวการเงินไม่ต่างกันครับ อย่าลืมที่จะมองหาข้อผิดพลาดของตัวเราเองในด้านการเงินต่างๆ ว่ามีอะไรบ้างไหมที่ควรปรับปรุงและแก้ไขเพื่อที่จะได้นำมาเริ่มต้นใหม่ในปีใหม่เช่นเดียวกัน อะแฮ่มๆๆ และเพื่อเป็นแนวทางแก่ผู้ที่หลงมาอ่านบทความนี้ ผมเลยตั้งใจที่จะเขียนสิ่งที่ผิดพลาดเรื่องการเงินในปี 2015 ของตัวเองเพื่อแบ่งปันประสบการณ์ให้ทุกท่านได้สมน้ำหน้า เอ้ย ได้นำไปใช้ประโยชน์กันต่อไปครับ
ข้อผิดพลาดทางด้านการเงินในปี 2015
1. วางแผนลงทุนโดยขาดเป้าหมายที่ชัดเจน ถึงแม้ว่าผมจะเริ่มต้นวางแผนการเก็บเงินและการลงทุนของตัวเองให้เป็นระบบอัตโนมัติครับ (ผ่านการตัดบัญชีธนาคารในจำนวนที่เท่าๆกันทุกเดือน) ไม่ว่าจะเป็นการออมหุ้น วางแผนทยอยซื้อกองทุนรวม เงินฝาก หรือ ทองคำ ซึ่งผมได้ใช้แนวทางเดิมตามที่เคยเขียนไว้ในบทความที่มีชื่อว่า “มีเงินเก็บเดือนละพัน เอาไปลงทุนมันๆในอะไรดี”
ฟังดูเผินๆแล้ว ก็เหมือนระบบที่ว่านี้ดูดีมีสกุลใช่ไหมครับ เพราะมีการจัดการเงินได้เป็นระบบชัดเจน แต่เอาเข้าจริงๆแล้ว ต่อให้จัดการการเงินได้เป็นระบบแค่ไหน แต่ถ้าเราขาดเป้าหมายในการลงทุนที่ชัดเจน เราย่อมไม่รู้ว่า “เงิน” ก้อนไหนที่ควรจะนำไปลงทุนที่ไหนก่อนและหลัง และควรลงทุนเป็นจำนวนเท่าไรถึงจะพอกับเป้าหมายที่ตั้งไว้
ยิ่งในกรณีของผมเองนั้นมี กระแสเงินสดจำกัด เนื่องจากลักษณะของรายได้ที่ไม่แน่นอนจากงานไม่ประจำ ดังนั้นผมถึงไม่สามารถกำหนดจำนวนเงินที่แน่นอนในการลงทุนไว้ได้ แต่ด้วยความชะล่าใจคิดว่าตัวเองจะมีรายได้มากจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (แต่ไม่ได้รับกระแสเงินสดที่ตรงตามเวลา) เลยทำให้ระบบลงทุนอัตโนมัติที่ตั้งเอาไว้มากมายก่ายกอง และแล้วก็ต้องหยุดชะงักและยกเลิกการลงทุนหลายๆตัวไปในที่สุดครับ
2. การใช้จ่ายแบบเอามันเข้าว่า ใครสักคนเคยกล่าวไว้ว่า มนุษย์นั้นมีความสามารถที่จะใช้จ่ายให้สูงขึ้นเมือมีรายได้เพิ่มขึ้น และผมก็กล้าที่จะยอมรับว่าตัวผมเองก็เป็นหนึ่งในนั้น (แหม่.. หน้าด้าน) ถึงแม้ว่าเราจะลงบัญชีรายจ่ายผ่านมือถือด้วย App ที่ชื่อว่า Spendee และบันทึกการใช้บัตรเครดิตด้วย Piggipo ก็ตาม แต่ก็ยังไม่วายที่จะใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอยู่ดีครับ เพราะบางเดือนก็บันทึกไปงั้นๆ แต่ไม่ได้รีวิวมันซักกะนิด พอปิดสิ้นปีมานั่งดูผลการใช้จ่ายของตัวเองแล้วก็ถึงกลับหลั่งน้ำตา เพราะในบางเดือนใช้จ่ายสูงมากกับค่าใช้จ่ายที่ไม่ได้จำเป็น อย่างค่าอาหารและเครื่องดื่ม จนทำให้ต้องร้องสะอื้นเบาๆ แบบนี้ล่ะคร้าบ
3. ความผิดพลาดในการจัดการค่าใช้จ่ายคงที่ ผมเคยเขียนบทความลงเวปไซด์ออมมันนี่ เรื่อง “รู้หรือยัง?? เหตุผลที่ไม่มีเงินเก็บเพราะค่าใช้จ่ายคงที่มากไป” ซึ่งในบทความนั้นผมเขียนขึ้นมาจากประสบการณ์จริงของผมครับ โดยค่าใช้จ่ายคงที่ที่ทำให้ผมเป็นปัญหานั้น มีทั้ง ค่าโทรศัพท์ ค่าอินเตอร์เน็ต ค่าโปรแกรมลิขสิทธิ (Office365, Adobe Photoshop และ Ligthroom) คอร์สออนไลน์ รวมถึงเพลงต่างๆที่ชอบซื้อจาก Itunes มาฟังอยู่บ่อยๆ ซึ่งรวมๆกันแล้วอยู่ประมาณหลายพันบาทต่อเดือน ซึ่งถ้าหากลดตัวที่ไม่จำเป็นได้ เราย่อมที่จะมีเงินออมเพิ่มขึ้น เพียงแต่เรามักจะใช้ค่าใช้จ่ายเหล่านี้ไปโดยไม่คิด เพราะมันดูเหมือนน้อยนิด แค่หลักร้อยหลักพันเท่านั้นเองครับ แต่เราก็ลืมไปอีกนั่นแหละว่า ถ้ารวมกันแล้วมันก็เป็นหลายพันเลยทีเดียว – -“
แนวทางแก้ไขในปี 2016
หลังจากผมนั่งตรวจสอบรายการผิดพลาดต่างๆทั้งใน App พอร์ทการลงทุน สรุปรายการสินทรัพย์ และเอกสารบัญชีต่างๆที่บันทึกไว้ ทำให้ผมคิดว่าสิ่งที่จะะต้องแก้ไขจริงๆในปี 2016 สำหรับตัวผมเอง คือการสร้างระบบการจัดการใหม่ที่เหมาะสมกับตัวเองครับ หรือใช้วิธีการ Back to School เอ้ย Back to Basic ตามขั้นตอนต่อไปนี้ครับ
1. ทำบัญชีรายรับรายจ่าย (แบบจริงจัง) นอกจาก Application แล้ว ปี 2016 นี้ผมยังจัดทำบัญชีรายรับรายจ่ายต่างหากใน Google Sheet ซึ่งไปแอบขโมยมาจากน้องเอ แห่ง A-Academy หลังจากที่ได้ดูคอร์สออนไลน์ฟรีๆอย่างสัมมนาวางรากฐานชีวิตด้วยความรู้ทางการเงิน Financial Foundation เป็นที่เรียบร้อย และมีอยู่ช่วงนึงในวีดีโอคอร์สนี้ ที่น้องเอได้แสดงให้เห็นถึงวิธีการใช้งานบัญชีรายรับรายจ่ายที่ว่านี้ เลยทำให้ผมรู้ว่า ไอ้ที่ผ่านมาที่เราบันทึกไว้น่ะ มันยังถึก เอ้ย ยังลึกไม่พอนี่หว่า
2. ตั้งเป้าหมายให้ชัดเจน แน่ล่ะว่าเป้าหมายแรกที่ทุกคนควรตั้งนั่นคือ เป้าหมายเพื่อการเกษียณ (ดังที่เพื่อนซี้ของผมหมอนัท คลินิกกองทุน เคยพูดเอาไว้เมื่อนานมากแล้ว) หลังจากนั้น ถ้าใครอยากจะเพิ่มอะไรเติมเข้าไป เช่น เพิ่มเป้าหมายเพื่อสร้างผลตอบแทนที่เป็นกระแสเงินสด (Income) หรือเป้าหมายอื่นๆที่ต้องการใช้เงินในอนาคต เช่น แต่งงาน ซื้อรถ ดาวน์บ้าน การศึกษาบุตร ซึ่งคำว่าเป้าหมายต้องชัดเจนนั้น คือ เราต้องชัดเจนก่อนครับว่า เราต้องการอะไร จำนวนเงินเท่าไร ภายในเวลาเท่าไร ก่อนที่จะวางแผนการลงทุนให้เป็นไปตามเป้าหมายนั้นๆ
อย่างตัวของผมเองนั้น ผมใช้วิธีปรับเปลี่ยนวิธีการลงทุนใหม่ให้มีความสม่ำเสมอมากขึ้น ตามเป้าหมายหลักๆ โดยเริ่มจากการลงทุนเพื่อเกษียณ ผ่าน กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ และ กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และตามมาด้วยการลงทุนเพื่อสร้างรายได้ที่เป็นกระแสเงินสดในอนาคต ผ่าน กองทุนตราสารหนี้ กองทุนหุ้น (LTF) โปรแกรมออมหุ้น และหุ้นกู้ และถ้ามีโอกาสผมจะเขียนบทความอธิบายแนวทางการลงทุนในส่วนนี้อย่างละเอียดอีกครั้งหนึ่งครับ
3. ปรับวิธีการลงทุนให้เหมาะสมกับกระแสเงินสด เนื่องจากผมเองมีรายได้แบบไม่แน่นอนในแต่ละเดือน ดังนั้นสิ่งที่เหมาะสมคือการลงทุนแบบอัตโนมัติในกระแสเงินสดที่ตัวเองคิดว่า “ไหว” จริงๆ ไม่ใช่กระแสเงินสดที่คิดว่า “อาจจะมี” ซึ่งการลงทุนด้วยจำนวนเงินที่น้อยลง แต่ให้มีความสม่ำเสมอมากขึ้น แล้วค่อยมองดูว่าถ้าหากมีเงินสดส่วนที่เหลือและไม่มีรายการใช้จ่ายเพิ่มเติมใดๆ ก็สามารถลงทุนเพิ่มเติมเข้าไปในแต่ละวาระและโอกาสได้ครับ
โดยส่วนตัว… ผมมองว่าการเงินนั้นถือเป็นส่วนที่สำคัญส่วนหนึ่งในชีวิตของเรา หากเราสามารถจัดการชีวิตด้านนี้ของเราให้ง่ายขึ้น มันก็คงจะทำให้เรามีเวลาเพื่อไปจัดการด้านอื่นๆของชีวิตให้ดียิ่งขึ้น จริงไหมครับ? สุดท้ายนี้เลยขอฝากแนวคิดอีกสัก 3 ข้อนี้ไว้ด้วยเพื่อเป็นของขวัญปีใหม่ในปี 2016 แก่เพื่อนๆพี่ๆน้องทุกคนครับ
1. เรื่องที่สำคัญที่สุด คือ การออม เพราะถ้าเราหารายได้ได้มากเท่าไร แต่เก็บเงินไม่ได้ก็มีปัญหาอยู่ดี ดังนั้นเราต้องพยายามที่จะเริ่มต้นออมเงินให้ได้ก่อนครับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเงินฉุกเฉินที่มีไว้สำหรับใช้จ่ายใน 3-6 เดือนข้างหน้าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันกับชีวิต
2. เรื่องต่อมาที่สำคัญไม่แพ้กัน คือ การจดบันทึกรายรับรายจ่าย เดยเฉพาะเรื่องของรายจ่าย เราจำเป็นที่จะต้องรู้ว่าเราใช้จ่ายไปกับอะไรมากที่สุด ซึ่งมันจะทำให้เรารู้ตัวว่าใช้จ่ายเกินตัวหรือไม่ และที่สำคัญคือต้องไม่ลืมที่จะตรวจสอบข้อมูลอย่างสม่ำเสมอเพื่อปรับปรุง ลองดูครับว่า เดือนนี้เราซื้อโน่นนั่นนี่มากไปหรือเปล่า ลดอะไรได้บ้างไหม
3. เรื่องสุดท้าย คือ ปรับการเงินเข้าหาไลฟ์สไตล์ของเรา ลองหาเครื่องมือมาช่วยประหยัดและวางแผนการใช้จ่ายอย่างเหมาะสม มีเครื่องมือมากมายที่พร้อมจะช่วยเหลือเราครับ เพียงแต่เราให้เวลาศึกษาหาความรู้และใส่ใจกับมันอย่างเต็มที่
เป็นไงบ้างครับกับแนวคิดการลงทุนและการจัดการเงินของผมในปี 2016 นี้ ซึ่งผมวางแผนไว้ว่าจะสามารถแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในปี 2015 ของผมได้ โดยผมเองคงไม่มีคำแนะนำเหมือนกูรูท่านอื่นๆว่า เทรนการลงทุนควรเป็นแบบไหน หรือ แนวโน้มการลงทุนในอะไรใหม่ๆเพื่อต้อนรับปี 2016 นี้ แต่ผมอยากให้ทุกคนได้กลับมาทบทวนตัวเองเพื่อสร้างระบบที่ดีในการลงทุนของตัวเอง ที่เราสามารถยอมรับได้ กระจายความเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม และมีความสุขกับชีวิตให้มากที่สุดคร้าบ