fbpx

เมื่อนักวางแผนการเงินบอกว่า “ผมจะมีเงินเกษียณ 30 ล้านบาท”

โพสต์เมื่อ: 13 เม.ย. 2016

ป้ายกำกับ:


“พรี่หนอม ผมดูๆแล้ว ถ้าเป็นไปตามแผนนี้ เมื่อถึงวันเกษียณพี่น่าจะมีเงินประมาณ 30 ล้านบาท” น้องเอ้ เจ้าของเพจ วางแผนการเงินกับ Insuranger กล่าวกับผมในร้านอาหารญี่ปุ่นสัญชาติไทยแห่งหนึ่ง

“กูว่าแผนของมึงก็โอเคแล้วนะ ปรับพอร์ทดีๆ อีกสักหน่อยน่าจะลงตัว” หมอนัท เจ้าของเพจ คลินิกกองทุน กล่าวสำทับเมื่อเห็นผมพยักหน้าหงึกๆหงักๆ หลังจากที่เอ้พูดจบ

ใช่ครับ … เรื่องทั้งหมดนี้มีที่มา

เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ เคยมีความฝันไหมครับ ฝันที่จะเป็นคนรวย ฝันที่จะมีทุกอย่างตามที่ใจปรารถนา ฝันที่ตื่นมาเจออิสรภาพการใช้ชีวิตโดยไม่ยึดติดกับสิ่งไหน สิ่งใด ล่องลอยไปในกระแสธารธาราแห่งทุนนิยมดังฝั่นใฝ่ในฝันอันอลังการ

#กริ๊งงงงงงง…. เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์มือถือปลุกให้เราตื่นขึ้นมา และสิ่งที่เรา “เลือก” ทำคือกดปุ่ม Snooze เพื่อเลื่อนเวลาปลุกออกไปอีกหน่อย เพื่อบอกกับตัวเองว่าขออีก 5 นาที แล้วหลับเพื่อที่จะ “ฝัน” ต่อ #ครอกก

ชีวิตคนเราก็เป็นเสียอย่างนี้แหละครับ เราบอกกับตัวเองว่าอยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง อยากจะมีชีวิตที่ดีขึ้น แต่พอรู้สึกตัวอีกที “ความอยาก” ก็ไม่ได้ช่วยผลักดันให้เราเปลี่ยนแปลงใดๆ โดยเฉพาะถ้าความอยากนั้นมันปราศจาก “วินัย” ในการลงมือทำ

ผมเคยเป็นคนหนึ่งที่มองว่าการใช้จ่ายเงินตามใจปราถนาคือการมี “อิสรภาพ” ในการใช้ชีวิต แต่เมื่อมีเหตุการณ์หลายๆอย่างเกิดขึ้นหลังจากการตัดสินใจ “ใช้ชีวิต” แบบนี้ จึงทำให้รู้สึกตัวเสียทีว่าที่จริงแล้ว “เงินไม่สำคัญ แต่มันจำเป็น” และสิ่งที่จำเป็นกว่านั้น คือ “การจัดการวางแผนการเงิน”

เช้านี้ก็เป็นอีกวันหนึ่งหลังจากที่ผมแต่งตัวเสร็จ และเดินลงมาหาอะไรรองเท้า เอ้ย! รองท้อง ก่อนที่จะออกจากบ้านไปทำงาน ผมมองเห็นผู้ชายอายุ 80 ปีคนหนึ่ง ใช่ครับ “พ่อ” ของผมกำลังนั่งนั่งอ่านหนังสือพิมพ์ตอนเช้าในโต๊ะกินข้าวหน้าบ้านอย่างสบายอารมณ์ เขาหันมามองผม ผมมองหน้าเขา ก่อนที่เราทั้งคู่จะกล่าวคำทักทายตามประสาพ่อลูก

ประโยคปิดบทสนทนาของวันนี้ก็เหมือนเช่นเคย คือ “ไปทำงานก่อนนะ” ชายคนนั้นพยักหน้ารับตอบเบาๆ พร้อมกับถามคำถามเดิมๆว่า “วันนี้กลับดึกหรือเปล่าลูก” – “ดึกแหละ วันนี้มีประชุมงานนิดหน่อย” ผมกล่าวตอบกลับไปพร้อมกับคิดในใจว่า ทำไมพ่อของเรานั้นช่างมีชีวิตที่ “ดีดีย์” แบบนี้

พ่อของผมหยุดทำงานและเกษียณตัวเองตั้งแต่อายุ 50 ปลายๆ และมีชีวิตแบบสบายๆต่อจากนั้นมาอีก 20 กว่าปี เพื่อใช้ชีวิตอย่างที่เขาชอบ โดยที่ไม่เป็นภาระลูกหลานแต่อย่างใด

… หรือเพียงเพราะว่าพ่อมีเงินเกษียณเพียงพอกับการใช้จ่าย ?

ภาพตัดกลับมาอีกครั้ง!! ผมกำลังนั่งคีบปลาดิบอยู่ที่ร้านอาหารญี่ปุ่นใจกลางสีลม พลางไล่สายตาอ่าน “แผน” ที่น้องเอ้ ส่งให้ พร้อมๆกับหันหน้าซ้ายขวาดูตารางปรับพอร์ทการลงทุนที่หมอนัทเป็นผู้แนะนำ ทั้งหมดนี้มันทำให้ผมพบความจริงที่คิดผิดมาตลอดว่า.. เราลงทุนเยอะ “มาก” จากข้อมูลที่มี “เกิน” ความจำเป็น

Nom-H

(สรุปวิเคราะห์แผนโดย “วางแผนการเงินกับ Insuranger“)

หลังจากที่ผ่านชีวิตชนิดที่ต้องผ่าฝันมาสักพัก ผมพยายามที่จะลงทุนให้มากที่สุดไปยังสินทรัพย์หลากหลายประเภท จนลืมถึงการ Focus เป้าหมายในการลงทุนของตัวเองว่าจริงๆแล้ว “เป้าหมายการลงทุนของเรา คืออะไร?”

เมื่อถามตัวเองอีกครั้งหนึ่ง ผมก็พบคำตอบว่า เป้าหมายในการลงทุนของผม (ณ ตอนนี้) มีอยู่ 2 อย่าง คือ เพื่อให้มีเงินใช้ในตอนไม่มีรายได้ (วัยเกษียณ) กับ เพื่อให้หยุดทำงานได้ไวขึ้น (Passive Income > รายจ่ายต่อเดือน) แต่ทุกวันนี้ .. หลังจากที่นั่งอ่าน ”แผน” ของตัวเอง ผมก็เริ่มสงสัยว่าสิ่งที่ตัวเองทำกำลังเดินตามเป้าหมายอยู่หรือเปล่า ?

ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ผมเริ่มเบื่อและขี้เกียจลงทุนในหุ้น (นอกจากพอร์ทออมหุ้น 5-7 ตัวที่มีอยู่) และเปลี่ยนมาลงทุนในกองทุนรวมมากขึ้นเพราะคิดว่าจะดีกว่าการซื้อหุ้น แต่ข้อผิดพลาดของผมหลังจากที่สำรวจตัวเองด้วย “แผน” การลงทุนนั่นก็คือ… ผมลงทุน “มาก” เกินไป

NUT

(ตารางแนะนำการปรับพอร์ทการลงทุนโดย “คลินิกกองทุน”)

1. ผมเลือกลงทุนในกองทุนรวมหุ้น ประมาณ 5-6 กองทุน (ไม่รวม LTF ที่เลือกลงทุนต่างหากอีก 3 กองทุน) ซึ่งเมื่อมาพิจารณาดูแล้วก็พบว่า ทุกๆกองทุนซื้อหุ้นคล้ายๆกันหมด หรือแปลง่ายๆการซื้อแต่ละกองทุนนั้นไม่ได้เป็นการกระจายการลงทุน
2. ผมเลือกลงทุนในกองทุนต่างประเทศมากมายเพื่อกระจายความเสี่ยง แต่กลับไม่ได้ Focus การลงทุนที่ชัดเจนว่าจะใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบไหน เอาง่ายๆ คือ กองไหนออกใหม่ใครว่าดีก็ซื้อๆไป ลองซื้ออย่างละนิดอย่างละหน่อย จนไม่รู้ว่าจะซื้อทำไมเยอะแยะ – -“
3. ผมไม่เคยตรวจสอบและวิเคราะห์พอร์ทการลงทุนของตัวเองแบบจริงๆจังๆ ถึงเวลาพอจะตรวจสอบก็นั่งทำทั้งวันทั้งคืน พอจะลืมก็ลืมไปเลย จนสุดท้ายตอบไม่ได้ว่า สิ่งที่กำลังทำอยู่นั้นเป็นไปตามเป้าหมายในการลงทุนหรือเปล่า

หลังจากที่ได้พูดคุยกับนักวางแผนการเงินทั้งสองคน (จริงๆก็คือเพื่อนและน้องนั้นเองครับ แฮร่) สิ่งที่ผมได้รับไม่ใช่การหาคำตอบในการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดหรือเพื่อตั้งเป้าหมายในชีวิต หรือให้จัดการวางแผนการเงินให้โดยที่ไม่ต้องทำอะไร แต่มันคือการทบทวนและตรวจสอบว่า สิ่งที่เราต้องการ กับ สิ่งที่เรากำลังทำ นั้น มันถูกต้องตรงกันหรือเปล่า….

ผมเชื่อว่า.. คนหลายคนไม่ค่อยเห็นความสำคัญของการวางแผนการเงิน บางคนกลัวที่จะให้คนอื่นมารู้เรื่องเงินของตัวเอง บางคนไม่กล้าแม้แต่จะตรวจสอบรายรับรายจ่ายดูว่าตัวเองผิดพลาดอะไร บางคนคิดว่าคนที่พูดแต่เรื่องเงินเป็นคนที่ใส่ใจวัตถุนิยมมากเกินไป ฯลฯ ซึ่งความเข้าใจผิดแบบนั้น อาจจะทำให้เราลืมเห็นความสำคัญของ “การวางแผนการเงิน”

หลังจากได้รับข้อมูลเรียบร้อย พูดคุยกับเสร็จ เฮฮาปาจิงโกะและแยกย้ายต่างคนต่างไป ผมขับรถกลับบ้าน มองดูคนเดินถนนในยามค่ำคืน แล้วบอกกับตัวเองเบาๆถึงสิ่งที่ได้เรียนรู้ในวันนี้ว่า การมีเป้าหมายนั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่ที่ดีกว่าคือเราต้องเดินทางไปยังทิศทางที่ถูกต้องตรงกับเป้าหมาย

ระยะเวลาการเดินทางจากสีลมถึงบ้านผมนั้นไม่นานมาก ใช้เวลาเพียง 20 นาทีในช่วงที่ไม่ใช่ชั่วโมงเร่งด่วน หลังจากเข้าสู่ตัวบ้าน ผมจอดรถ – ดับเครื่องยนต์ – นาฬิกาบอกเวลา 3 ทุ่มครึ่ง ผมล็อกรถและเดินเข้าบ้าน ก่อนที่จะเหลือบเห็นว่าไฟห้องทำงานยังเปิดอยู่

ผมมองผ่านกระจกห้องทำงานเห็น “แม่” กำลังนั่งทำงานอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์อย่างมีความสุข ถึงแม้ว่าแม่จะอยู่ในวัยเกษียณแล้ว แต่ถ้าเปรียบเทียบกันจริงๆ ผมเชื่อว่าความกระฉับกระเฉงในการทำงานของแม่น่าจะมากกว่าผมสัก 2 เท่าเสียด้วยซ้ำ

แม่มักจะพูดกับผมอยู่เสมอว่าอยากจะเลิกทำงาน แต่แม่ก็หยุดไม่ได้เสียที ซึ่งเหตุผลนั้นไม่ใช่เพราะว่าแม่ไม่มีเงินพอที่จะเกษียณ แต่มันช่างเรียบง่ายด้วยเหตุผลที่ว่า “แม่ทิ้งลูกค้าไม่ได้”

ก่อนเดินขึ้นบ้าน ผมมองแม่แล้วคิดในใจว่า บางทีแล้วคำว่า “เกษียณ” อาจจะไม่ได้หมายถึงการ “เลิกทำงาน” แต่มันคือการจัดการด้านการเงินที่ทำให้เรามีชีวิตที่สามารถทำอะไรอย่างที่เราต้องการได้ “จริงๆ”

เพื่อให้ได้ “ความสุข” โดยที่ไม่ต้องมี “ทุกข์” เรื่องเงินอีกต่อไป

ครับ… เรื่องทั้งหมดนี้เกิดขึ้นตั้งแต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา แต่ผมไม่ได้เขียนเรื่องราวนี้ออกมาเสียที ส่วนหนึ่งอาจจะเพราะระยะเวลาที่ค่อนข้างรัดตัว งานยุ่งและไม่มีเวลาพอที่จะตั้งสติเขียนมันออกมา และอีกส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะผมตั้งใจให้ตัวเองปรับปรุงแผนการเงินให้เรียบร้อยเสียก่อน เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองทำได้จริงๆ ถึงจะค่อยนำมาเล่าให้กับเพื่อนๆพี่ๆน้องๆฟัง

หลังจากที่ผมได้รับคำแนะนำจาก “นักวางแผนการเงิน” ผมก็ไปปรับปรุงพอร์ทการลงทุนของตัวเองให้ชัดเจนและ “เรียบง่าย” มากขึ้น จากกองทุนหุ้นที่มีมากมายก็เหลือเพียงแค่ 2-3 กองทุน จากกองทุนต่างประเทศที่กระจายไปทั่วก็มา Focus มากขึ้น รวมไปถึงการปรับปรุงการเงินด้านอื่นๆ และการป้องกันความเสี่ยงอื่นๆ

ณ วันนี้เงิน 30 ล้านบาทยังไม่ได้ปรากฎขึ้นมาให้ผมเห็นอย่างเป็นรูปธรรม และมันคงเป็นแค่การคาดการณ์ไปตามศาสตร์ในการวางแผนการเงิน ซึ่งมันอาจจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง ปรับปรุง เพิ่มเติมต่อไปในอนาคตข้างหน้า หรือเอาเข้าจริงผมก็ไม่รู้หรอกครับว่าตัวเองจะมีเงิน 30 ล้านบาทได้จริงๆไหม (ไว้อีกสัก 20 ปีข้างหน้าคงรู้กัน ฮี่ๆ)

ผมเชื่อว่า “แผน” การเงินที่ผมใช้ในวันนี้ มันเป็นเพียงแค่แผนที่เพื่อการคาดการณ์ไปสู่เป้าหมายเพียงเท่านั้น และมันทำให้ผมรู้ว่าความไม่แน่นอนที่น่ากลัวที่สุดของคนเรา คือ การที่เราไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่แน่นอน

ระหว่างที่ผมนั่งเขียนบทความนี้อยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ในวันสงกรานต์ (12 เมษายน 2559) มีมิตรสหายบางคนคัดค้านและแนะนำว่า ผมไม่ควรที่จะเขียนอะไรที่แสดงให้เห็นถึงความผิดพลาดของตัวเอง แต่ผมเชื่อครับว่าประสบการณ์ที่ดีนั้นมีค่ามากกว่าคำสอน

คนเราทุกคนนั้นผิดพลาดได้ แต่สิ่งสำคัญคือเมื่อผิดพลาดแล้วเราจัดการแก้ไขปัญหาอย่างไร และมันจะเป็นประสบการณ์ให้เราไม่ผิดพลาดซ้ำแล้วซ้ำเล่าได้หรือไม่ ผมหวังว่าบทความนี้คงจะเป็น “คำตอบ” และ “ทางออก” ให้กับใครหลายคนที่ไม่เคยวางแผนการเงินได้บ้างไม่มากก็น้อยครับ :)

สุดท้ายนี้ ขอขอบคุณ น้องเอ้ วางแผนการเงินกับ Insuranger และ หมอนัท คลินิกกองทุน สำหรับการแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ในการวางแผนการเงินจากประสบการณ์จริงไว้ ณ ที่นี้ด้วยคร้าบบ (ถ้าใครสนใจก็ติดตามและปรึกษาได้ที่เพจของทั้งคู่นะครับ)

ป.ล. ตอนแรกตั้งใจจะเปิดเผยข้อมูลทางการเงินและรายละเอียดการลงทุน แต่คิดแล้วอาจจะเป็นการชี้นำในการลงทุน จึงขออนุญาตใช้ภาพเล็กๆ และทำตัวอักษรเบลอไว้แทนครับ ขอบคุณครับ :D

error: เว็บไซต์ป้องกันการ copy