ว่าด้วยเรื่องของ การออม การวางแผนภาษี และ มนุษย์เงินเดือน – ตอนที่ 3 | วิธีการคำนวณภาษีและการลดเงินได้สุทธิ
กลับมาว่ากันต่อด้วยเรื่องของ การออม การวางแผนภาษี และ มนุษย์เงินเดือนในตอนที่ 3 กันครับ
วันนี้ขอนำเสนอต่อในหัวข้อเรื่องของ “วิธีการคำนวณภาษีและการลดเงินได้สุทธิ”
สำหรับตอนที่ 1 และ 2 อ่านย้อนหลังได้ที่นี่ครับ
ว่าด้วยเรื่องของ การออม การวางแผนภาษี และ มนุษย์เงินเดือน – ตอนที่ 1
http://tax.bugnoms.com/tax/tax-saving-and-saving-plan-for-salaryman-1/ว่าด้วยเรื่องของ การออม การวางแผนภาษี และ มนุษย์เงินเดือน – ตอนที่ 2
http://tax.bugnoms.com/tax/tax-saving-and-saving-plan-for-salaryman-2/
.
.
ก่อนอื่น ผมขอถามเพื่อนๆก่อนครับว่า รู้หรือไม่ว่า ภาษีที่เราต้องเสียในแต่ละปีนั้น มีวิธีการคำนวณอย่างไร?
บางคนอาจจะทราบแล้ว แต่บางคนอาจจะยังไม่ทราบ ผมขออนุญาตอธิบายซ้ำอีกครั้งนะครับ
:)
.
.
การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่เป็นมนุษย์เงินเดือนนั้น มีวิธีดังรูปนี้ครับ
ซึ่งเมื่อเราคำนวณเงินได้สุทธิออกมาแล้ว
เราจะต้องนำเงินได้สุทธิมาคำนวณภาษีโดยคูณด้วยอัตราภาษีดังนี้ครับ
.
.
ตอนนี้เราก็รู้แล้วว่า ภาษีเงินได้ของเรานั้น มีวิธีการคำนวณอย่างไรบ้าง
ข้อแรก เรารู้ว่า ภาษีที่เราคำนวณนั้น มาจาก เงินได้สุทธิ x อัตราภาษี
ข้อสอง เงินได้สุทธิ มาจาก เงินได้พึงประเมิน – ค่าใช้จ่าย (ตามกฎหมาย)
แปลว่า ยิ่งเรามีเงินได้สุทธิเพิ่มขึ้นเท่าไร เราก็จะยิ่งต้องเสียภาษีในอัตราที่เพิ่มขึ้นมากเท่านั้น…
ดังนั้นวิธีการลดภาษีที่ง่ายที่สุด ก็คือ การหาวิธีการลด “เงินได้สุทธิ” นั่นเองครับ
.
.
โดยปกติแล้วกลยุทธ์ในการลดเงินได้สุทธินั้น มีอยู่ 4 วิธีครับ ได้แก่
1. การลดยอดเงินได้พึงประเมิน
- เปลี่ยนเงินได้ที่ต้องเสียภาษีให้เป็นเงินได้ที่ยกเว้นภาษี
- แยกรายได้ที่ได้สิทธิยกเว้นภาษีออกไป
- เลื่อนการรับรู้เงินได้ไปในปีภาษีอื่น
- กระจายหน่วยภาษี เพื่อขยายฐานภาษี
2. การเพิ่มค่าใช้จ่าย
- เลือกอาชีพที่หักค่าใช้จ่ายได้สูงสุด
- เครดิตภาษีเงินปันผล
จากสองข้อแรกนั้น ผมถือว่าเป็นปัญหาหนักอกของ มนุษย์เงินเดือน อย่างเราๆมากครับ เพราะคิดจะลดยอดเงินได้พึงประเมินก็ทำไม่ได้ เนื่องจากได้รับเงินได้เป็น “เงินเดือน” จำนวนเท่ากันในทุกๆเดือน และยังได้รับเงินเดือนเพิ่มขึ้นในทุกๆปีอีกด้วยซ้ำ
และคงไม่มีใครคิดที่จะไปบอกเจ้านายว่า
“โทษนะครับ ช่วยลดเงินเดือนให้ผมหน่อยนะครับ ผมไม่อยากจ่ายภาษีแพง”
:D
ส่วนเรื่องการเพิ่มค่าใช้จ่ายนั้น ปิดประตูไปได้เลยครับ อย่างที่ผมเคยบอกไว้แล้วในตอนที่ 2 ไว้แล้วครับว่า ประมวลรัษฎากรได้กำหนดให้มนุษย์เงินเดือนอย่างเราสามารถหักค่าใช้จ่ายเป็นการเหมาสำหรับเงินได้ประเภทนี้ในอัตราร้อยละ 40 แต่ไม่เกิน 60,000 บาท (อ้างอิงตามมาตรา 42 ทวิ แห่งประมวลรัษฎากร)
ผมขอแปลให้ฟังชัดๆ อีกทีนะครับว่า ….
ไม่ว่าคุณจะมีเงินได้มากเท่าไรก็ตาม คุณจะสามารถหักค่าใช้จ่ายได้สูงสุดแค่เดือนละ 5,000 บาทเท่านั้น!!!
มีคนบอกผมว่าถ้าทนเป็นมนุษย์เงินเดือนไม่ได้ ก็ไปเปลี่ยนอาชีพเอาซะเซ่!!! จะได้ลดภาษีไงละ…
อาชีพมันเปลี่ยนกันได้ง่ายซะที่ไหนกันล่ะพี่ค้าบบบ TwT
.
.
ทีนี้เราก็ต้องมาลุ้นกันกับสองวิธีที่เหลือครับ คือ
3. การเพิ่มค่าลดหย่อน
- ใช้สิทธิค่าลดหย่อนให้ได้มากที่สุด
- การแจ้งเรื่องเครดิตภาษีล่วงหน้า
4. การเพิ่มยอดเงินบริจาค
- เงินที่ได้รับสิทธิลดหย่อนค่าบริจาคตามกฎหมาย แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินได้หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว
- เงินบริจาคเพื่อสนับสนุนการศึกษา มีสิทธิหักลดหย่อนได้ 2 เท่าของจำนวนเงินที่ได้จ่ายไปจริง แต่รวมกันแล้วต้องไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินคงเหลือหลังจากหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนอื่นๆ แล้ว
โดยรายละเอียดของเงินบริจาคสำหรับบุคคลธรรมดานั้น ผมเคยเขียนไว้แล้วบ้าง หากสนใจก็สามารถอ่านได้นะครับ
เจาะลึกการลดหย่อนภาษีด้วยเงินบริจาค (1)
http://tax.bugnoms.com/tax/tax-donation-expense/
.
.
ตามความเห็นของผมแล้ว ผมคิดว่า เงินบริจาค ถือเป็นส่วนน้อยของการวางแผนภาษีสำหรับมนุษย์เงินเดือนครับ เนื่องจากติดตรงข้อจำกัดที่ว่าหักได้ไม่เกินร้อยละ 10 ของเงินคงเหลือหลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อนแล้ว
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้แล้ว เพื่อนๆพอทราบก้นหรือยังครับว่า
พระเอกตัวจริงของการวางแผนภาษีสำหรับ มนุษย์เงินเดือน คือ ใครกันหนอ …
คำตอบก็คือ “ค่าลดหย่อน” นั่นเองครับ
.
.
ซึ่งในบทความตอนหน้านั้น เราจะมาดูถึงรายละเอียดของค่าลดหย่อน
และแนวทางการใช้สิทธิประโยชน์ของค่าลดหย่อนกันครับ
สุดท้ายนี้ อย่าลืม Like หรือ Share บทความนี้ด้วยนะครับ :)
ยิ่งจำนวน Like หรือ Share มากขึ้นเท่าไร ผมก็จะได้มีกำลังใจเขียนตอนต่อไปไวๆไงครับ
ยังไงก็รบกวนฝากบทความนี้ด้วยนะคร้าบ
:D