วิเคราะห์เจาะลึก!! มาตรการส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปนิติบุคคล ดีจริงไหม?
สวัสดีครับ ห่างหายกันไปนานเหลือเกินกับ “บล็อกภาษีข้างถนน” คราวนี้เลยถึงเวลาที่จะกลับมาอีกครั้งกับบทความใหม่ประจำเดือนสิงหาคมแล้วล่ะครับ แฮร่ๆ
สำหรับหัวข้อในวันนี้ กับ “มาตรการส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปนิติบุคคล” ที่มีข่าวคราวมาตั้งแต่อาทิตย์ก่อน จากมติของคณะรัฐมนตรีในวันที่ 9 สิงหาคม 2559 ซึ่งผมได้สรุปประเด็นและแนวคิดคร่าวๆ ไว้ในเพจ TAXBugnoms ตามนี้ครับ
ทีนี้เรามาดูกันต่อดีกว่าครับว่า “มาตรการส่งเสริมให้บุคคลธรรมดาประกอบธุรกิจในรูปนิติบุคคล” ที่ว่านี้มีเรื่องราวอะไรบ้าง เรามาค่อยๆ วิเคราะห์กันไปทีละข้อๆ เลยดีกว่าครับ
1. ลดอัตราการหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาเหลือไม่เกิน 60% ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2560 สำหรับข้อแรกนี้ขอปูความเข้าใจให้ฟังอีกทีนะครับว่า การหักค่าใช้จ่ายแบบเหมานั้น หมายถึง การหักค่าใช้จ่ายในกรณีที่เป็นบุคคลธรรมดาและมีเงินได้ประเภทที่ 8 นั้น แรกเริ่มเดิมทีจะสามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 60-85% โดยขึ้นอยู่กับประเภทของการประกอบกิจการ แต่ถ้ามีกฎหมายใหม่นี้ออกมาก็แปลว่าจะลดเพดานสูงสุดจาก 85% ลงเหลือแค่ 60% เท่านั้น
สมมุติว่า… ในกรณีที่เป็นธุรกิจซื้อมา – ขายไป อย่างการขายของ หรือ ขายของออนไลน์ จากเดิมที่สามารถหักค่าใช้จ่ายได้ 80% ก็จะหักค่าใช้จ่ายได้เพียง แค่ 60% เท่านั้น ซึ่งมันจะกระทบผลต่อภาษีดังนี้ครับ
(กรณีประกอบอาชีพขายของแบบซื้อมา – ขายไป)
ซึ่งจะเห็นว่าการหักค่าใช้จ่ายได้ลดลงเหลือ 60% นั้น (ซึ่งความเป็นจริงไม่รู้จะต่ำกว่านี้หรือเปล่า) จะมีผลให้บุคคลธรรมดาต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้นจากเดิมค่อนข้างมาก ยิ่งกรณีที่ฐานรายได้ยิ่งสูง การเสียภาษีก็จะยิ่งสูงขึ้นตามอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาตามไปด้วยครับ ซึ่งแปลว่ามาตรการดังกล่าวพยายามที่จะ “บีบ” กลายๆให้บุคคลธรรมดา ย้ายไปเป็นนิติบุคคลอย่างบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนแทน ซึ่งจูงใจด้วยอัตราภาษีที่ต่ำกว่านั่นเองครับ
(ตารางเปรียบเทียบอัตราภาษีเงินได้ของธุรกิจแต่ละรูปแบบ)
2. ยกเว้นภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะและอากรแสตมป์แก่บุคคลธรรมดาในการโอนกรรมสิทธิ์อสังหาริมทรัพย์และทรัพย์สินให้แก่นิติบุคคลที่จดทะเบียนตั้งแต่วันที่ 9 ส.ค. 2559-31 ธ.ค. 2560 มาถึงข้อนี้หลายคนอาจจะสงสัยว่าทำไมต้องยกเว้นภาษีเงินได้และภาษีต่างๆใช่ไหมครับ เพราะว่าในแง่ของภาษีแล้ว การโอนทรัพย์สินให้แก่บริษัทและห้างหุ้นส่วนที่จดทะเบียนใหม่ จะกลายเป็นรายได้ของผู้รับ (นิติบุคคลตั้งใหม่) ซึ่งถ้าหากไม่ยกเว้นเงินได้ในส่วนนี้ให้ ก็แปลว่าจะต้องเสียภาษีอีกมากมายตามมาครับ มาตรการส่งเสริมตรงนี้เลยออกมาเพื่อลดภาระที่จะเกิดขึ้นนั่นเองครับ
3. บริษัทที่จัดตั้งใหม่มีทุนชำระแล้วไม่เกิน 5 ล้านบาท และมีรายได้ไม่เกิน 30 ล้านบาท สามารถนำรายจ่ายจากการจัดตั้งบริษัท รวมทั้งรายจ่ายค่าทำบัญชีและค่าสอบบัญชีมาหักรายจ่ายได้ 2 เท่า เป็นเวลา 5 รอบบัญชี สำหรับการส่งเสริมในข้อที่ 3 นี้ เป็นเรื่องการให้สิทธินำมาเป็นรายจ่ายเพิ่มขึ้นในการคำนวณกำไรสุทธิในกรณีที่เริ่มจัดตั้งบริษัทครับ
โดยกรณีนี้ ค่าทำบัญชี และ ค่าสอบบัญชี ที่ได้ใช้ในกรณีที่จัดตั้งใหม่ตามระยะเวลาที่กฎหมายกำหนด (เข้าใจว่าน่าจะเป็นช่วงเดียวกันกับข้อ 2 นะครับ) ทีนี้สิทธิประโยชน์ในข้อนี้ ให้สิทธิเป็นค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นจากที่เราได้จ่ายไปแล้ว เพราะค่าใช้จ่ายเหล่านี้ เป็นค่าใช้จ่ายที่เราต้องจ่ายเพิ่มขึ้นมา ถ้าอยากจะเปลี่ยนสถานะจากบุคคลเป็นนิติบุคคล ได้แก่ ค่าจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทต่างๆ ค่าจ้างคนทำบัญชี และค่าสอบบัญชีประจำปี
4. ลดค่าธรรมเนียมการโอนจาก 2% เหลือ 0.01% สำหรับการโอนอสังหาริมทรัพย์และห้องชุดที่ถือเป็นการโอนส่วนตัวเข้าบริษัทนิติบุคคล ในกรณีที่ตั้งสถานประกอบกิจการ หรือมีการจัดตั้งธุรกิจในชื่อของนิติบุคคลจะต้องโอนจากบุคคลธรรมดาคนเดิมที่เป็นเจ้าของบริษัทมาให้กับบริษัทอีกทีหนึ่ง ซึ่งตรงนี้สิทธิคือการลดค่าธรรมเนียมการโอนลงให้เหลือเพียง 0.01% ของราคาประเมินครับ
5. การอนุญาตให้บุคคลธรรมดาสามารถโอนใบอนุญาตในการประกอบกิจการให้นิติบุคคลที่ตั้งขึ้นใหม่ได้ สำหรับข้อนี้ข้อสุดท้าย ผมตีความเอานะครับว่าเป็นเรื่องของใบอนุญาตประกอบกิจการบางอย่างที่ได้สิทธิในนามบุคคลธรรมดา ก็สามารถทำเรื่องขอโอนมาเป็นนิติบุคคลได้ ซึ่งตรงนี้เข้าใจว่า อาจจะเป็นกรณีเดียวกันกับธุรกิจร้านทองและร้านขายยาต่างๆ ที่ทางรัฐกำลังสนับสนุนให้เปลี่ยนมาเป็นนิติบุคคลนั่นเองครับ
เราเห็นอะไรจากเรื่องนี้?
อะแฮ่มมม ออกตัวไว้ก่อนว่า สิ่งที่ผมกำลังจะเขียนต่อไปนี้คือความคิดเห็นส่วนตัวของผมนะครับ เพราะสิ่งที่ผมมองเห็นจากมาตรการนี้ (ที่ยังไม่ได้ประกาศออกมาเป็นกฎหมาย) คือ ความพยายามที่จะกระตุ้นและตีวงให้คนเข้าสู่ระบบภาษีกันมากขึ้น ซึ่งถ้ามองในแง่ของตัวธุรกิจเอง ในช่วงที่รัฐมีนโยบายเหล่านี้ออกมาอย่างต่อเนื่องก็ถือว่าเป็นข้อดีหนึ่งที่จะทำให้ตัวเองเข้าระบบได้อย่างถูกต้องและสะดวกขึ้น ส่วนสิ่งที่ทางภาครัฐได้มากขึ้นก็คงจะเป็นจำนวนเงินภาษีที่มากขึ้นจากการเข้าสู่ระบบของธุรกิจขนาดเล็กเหล่านี้ครับ
แต่ถ้าหันมามองอีกด้าน เราจะเห็นว่าเมื่อมีนโยบายต่างๆออกมาตีวงล้อมแบบนี้ ย่อมจะคนบางส่วนที่เชื่อว่าจะสามารถหลบหลีกหลีกหนีต่อไปได้อยู่ดี ตราบใดที่กฎหมายไม่ได้ใช้บังคับอย่างเด็ดขาด ซึ่งเราคงต้องติดตามดูกันต่อไปว่าความสามารถของรัฐที่พยายามตีวงล้อมจับคนมาเข้าสู่ระบบ กับคนที่พยายามหลุดรอดออกไปจากระบบ ใครจะเป็นผู้ชนะในท้ายที่สุดครับ
ผมเคยได้ยินคำพูดว่า “สิ่งที่มนุษย์กลัวมากที่สุดคือการเปลี่ยนแปลง” เพราะเราคุ้นเคยกับการเป็นแบบเดิมๆ มาโดยตลอด แต่อย่างไรก็ตามหวังว่าการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นหลังจากนี้ จะส่งผลดีจริงๆต่อระบบการจัดเก็บภาษีของไทย และมีรายได้ที่เต็มเม็ดเต็มหน่วยของภาครัฐโดยที่ไม่ต้องลำบากประชาชนเพียงกลุ่มในกลุ่มหนึ่ง
… โดยเฉพาะคนที่เสียภาษีอย่างถูกต้องมาโดยตลอดนะครับ :)