จุดจบของคนหลบภาษี? เมื่อธนาคารถูกสั่งให้ส่งข้อมูลบัญชีกับสรรพากร
เมื่อก่อนคนมักจะกลัวการถูกตรวจสอบบัญชีธนาคารจากทางกรมสรรพากร แต่จะเป็นอย่างไร ถ้าหากข้อมูลธุรกรรมต่างๆของเรานั้น ต้องถูกส่งต่อให้กรมสรรพากรได้โดยตรงโดยอำนาจของกฎหมาย และในฐานะของคนที่มีหน้าที่ต้องเสียภาษี เราควรจะปรับปรุงอะไรยังไงต่อไปเพื่อให้เกิดปัญหาน้อยที่สุด
พรี่หนอมจั่วหัวข้อแบบนี้ขึ้นมา เนื่องจากผลของร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรเพิ่มเติมฉบับล่าสุด ตามแนวทางแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงการพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ หรือ National e-Payment Master Plan นั้น กำหนดให้ทางสถาบันการเงินต่างๆ นั้นต้องนำส่งรายงานข้อมูลของบุคคลที่มี “ธุรกรรมพิเศษ” ถูกในแต่ละปีให้กับกรมสรรพากรภายในเดือนมีนาคมปีถัดไป เพื่อใช้ในการตรวจสอบข้อมูลการเสียภาษีว่าถูกต้องหรือไม่
โดยนิยามของคำว่า “ธุรกรรมพิเศษ” ทีว่านั้น หมายถึง ธุรกรรมที่มีการ ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 3,000 ครั้งขึ้นไปหรือ ฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกันตั้งแต่ 200 ครั้งขึ้นไปและมียอดรวมตั้งแต่ 2,000,000 บาทขึ้นไป
สรุปว่า… รับเงิน 200 ครั้งต่อปี และมียอดรวมเงินเกิน 2 ล้านบาท
หรือ รับเงิน 3,000 ครั้งต่อปี (รวมทุกบัญชี) นั่นเองครับ
ยอดรับถึงตัวนี้เมื่อไร โดนเมื่อนั้น ทันทีจ้า
ลองตีความเล่นๆ คำว่า “ฝากหรือรับโอนเงิน” ที่ว่านี้ น่าจะหมายถึงการที่มียอดเงินโอนเข้าบัญชีของเราครับ โดยรวมเป็นรายบุคคล ทุกบัญชี แต่ส่งเป็นรายสถาบันการเงิน ดังนั้นตรงนี้ต้องดูต่อไปครับว่า ข้อมูลของแต่ละสถาบันการเงินจะเชื่อมต่อกันแบบไหนยังไงในอนาคตครับผม แต่อย่างไรก็ดี ตรงนี้ยังมีเรื่องของวงเงิน 2 ล้านบาทที่เป็นเพดานกั้นอยู่ ดังนั้นผู้ที่มีรายได้เยอะๆเห็นทีจะรอดยากครับ
ผลกระทบจริงๆ ไม่ใช่แค่ธุรกิจออนไลน์อย่างเดียว
แต่กระทบเป็นวงกว้างต่อหลายกลุ่ม
จากร่างข้อกฎหมายข้างต้น ลองแยกประเด็นต่อไปว่า ธุรกิจที่มีรายการโอนเงินเยอะๆ รับเงินเยอะๆ นั้นจะต้องโดนเงื่อนไขนี้ด้วยกันทั้งหมดครับ ถึงแม้ว่าหลายคนจะคิดว่าจำกัดแค่ธุรกิจออนไลน์ แต่จริงๆแล้วไม่ได้จบแค่นั้นครับ เพราะว่าบุคคลธรรมดาทุกคนที่มีรายการรับจ่ายเยอะทั้งหลายก็ต้องโดนหมด รับเงินครั้งละหลักสิบหรือหลักร้อยเกินกว่า 3,000 ครั้งต่อปี ก็มีสิทธิถูกตรวจสอบได้ทั้งหมดเลยครับ
ดังนั้นไม่ว่าจะทำธุรกิจออนไลน์ โอนไว เป็นนายหน้า ค้าหมูปิ้ง ชิ่งโต๊ะบอล เล่นพนันออนไลน์ ขายเงินตรา ทุกๆอย่างที่มีการโอนเงินทั้งหลายมากมายผ่านบัญชีธนาคารย่อมจะมีความเสี่ยงในการถูกตรวจสอบทั้งหมดครับ แต่คนขายของออนไลน์อาจจะรู้สึกกลัวกว่าคนอื่นหน่อย เพราะเป็นการทำธุรกิจที่เห็นภาพได้ชัดเจนที่สุดครับ
หลังจากที่พรี่หนอมโพสแชร์เรื่องนี้ลงเพจ TAXBugnoms ไป ก็ได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามครับ (ส่วนใหญ่เป็นเสียงด่า แต่ไม่ได้ด่าพรี่หนอมนะฮะ 555) ซึ่งต้องย้ำอีกทีว่า กฎหมายฉบับนี้ยังคงเป็นร่างอยู่ซึ่งรอการให้ความเห็นจนถึงวันที่ 15 เมษายน 2561 (อ่านต่อได้ที่ : ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มประมวลรัษฎากรระบบภาษีและเอกสารธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงการพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ) ซึ่งถ้าคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องนี้เราก็สามารถทำหน้าที่ของประชาชนไปให้ความเห็นได้เหมือนเช่นเคยครับ แต่จะผ่านหรือไม่ผ่านก็คงมีการแก้ไขกันไปครับ
คำถามที่ต้องรีบตอบโดยด่วน
คือ ถ้ากฎหมายนี้บังคับใช้จริง เราควรจะทำยังไง
หลังจากที่เราบ่น ด่า และต่อว่ากันอย่างสาแก่ใจแล้ว ทีนี้มันต้องดูกันครับว่า ถ้ากฎหมายฉบับนี้บังคับใช้ขึ้นมาจริงๆ เราควรจะทำยังไงดี ซึ่งพรี่หนอมเองนั้นมีแนวทางที่อยากจะแนะนำไว้สัก 2 ข้อดังนี้ครับ
1. บัญชีรายรับรายจ่าย อันนี้บอกเลยว่าต้องทำ โดยให้รู้ว่า “ทุกรายการเงินเข้าในบัญชีธนาคาร” นั้น “เป็นรายการเกี่ยวกับอะไร” ซึ่งการจดบันทึกรายการบัญชีรายรับรายจ่ายจะช่วยเราได้ง่ายที่สุดครับ
2. แยกบัญชีธนาคารตามประเภทของการใช้งาน จากผลของที่ธนาคารมีค่าธรรมเนียมฟรีประกอบกับการที่ระบบพร้อมเพย์ที่มีค่าธรรมเนียมต่ำมาก ทำให้อุปสรรคในการโอนเงินนั้นหมดไป การเปิดบัญชีแต่ละบัญชีเพื่อใช้งานนั้น ขอให้แยกตามประเภทของการใช้จ่าย เช่น ใช้จ่ายส่วนตัว รับรายได้จากการทำงานหรือธุรกิจ บัญชีลงทุนต่างๆหรือรับรายได้อื่น บัญชีรับเงินปันผลดอกเบี้ย ไม่ใช่เพื่อใช้ในการหลบเลี่ยงนะครับ แต่ทำเพื่อใช้ในการจัดการบริหารการเงินให้สามารถลงบันทึกบัญชีรายรับรายจ่ายได้สะดวกขึ้นครับ
โดยหลักการในข้อ 1 และ 2 นั้นเป็นหลักการพื้นฐานทางด้านการจัดการการเงินและการจัดการภาษีส่วนบุคคลอยู่แล้วครับ เพียงแต่ว่าสิ่งที่ดูเหมือนปัญหาอาจจะเป็นเพราะว่าเราไม่เคยทำมาก่อน แต่ถ้าหากใครได้ทำแล้วจะรู้ว่าเราสามารถวางแผนการเงิน จัดการเรื่องภาษีได้อย่างมีระบบและถูกต้องมากยิ่งขึ้น ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นประโยชน์กับตัวเราเองและป้องกันปัญหาที่จะเกิดขึ้นหากถูกตรวจสอบได้ไปพร้อมๆกันเลยล่ะครับ
อย่ามโนไปไกลเรื่องสังคมไร้เงินสด เงินในระบบ
จนเข้าใจผิดว่า เรื่องทั้งหมดนี้เป็นเพราะพร้อมเพย์
อีกประเด็นหนึ่งที่อยากจะเขียนชี้แจงไว้สำหรับการรับข่าวสารในช่วงนี้คือ เรื่องทั้งหมดที่เขียนนี้ไม่เกี่ยวกับการสมัครพร้อมเพย์ในการใช้งานนะครับ เราต้องแยกก่อนว่าพร้อมเพย์เป็นส่วนหนึ่งของระบบที่ใช้ในการโอนเงินและทำธุรกรรมทางการเงินผ่านเลขบัตรประชาชนหรือเบอร์โทรศัพท์ ซึ่งผู้ใช้มีสิทธิเลือกที่จะสมัครหรือยกเลิกเมื่อไรก็ได้ แต่ร่างกฎหมายฉบับนี้คือการระบุให้สถาบันการเงินต่างๆ มีหน้าที่ต้องนำส่งข้อมูลการโอนเงินเข้าบัญชีธนาคารที่เกินกว่ากฎหมายกำหนด (ธุรกรรมพิเศษ) ให้กับกรมสรรพากรตรวจสอบ ซึ่งถ้าไม่ทำก็มีความผิดกันไป ดังนั้นธนาคารก็ต้องทำตามหน้าที่ของเขาไปครับ
นอกจากนั้นในเรื่องของกฎหมาย ก็ต้องบอกอีกว่า หลักการกฎหมายภาษีบ้านเรานั้น เจ้าพนักงานสามารถตรวจสอบข้อมูลการเสียภาษีได้อยู่โดยอำนาจตามกฎหมายดั้งเดิม นั่นคือ ถ้าหากสงสัยสามารถขอตรวจสอบได้ทันที (อ่านภาษากฎหมายได้ที่ มาตรา 19 แห่งประมวลรัษฏากรครับ) ซึ่งไม่เกี่ยวว่าการเปิดพร้อมเพย์จะทำให้ตรวจสอบได้ง่ายขี้นนะครับ มันคนละเรื่องกัน ไอ้ที่ตรวจสอบได้ง่ายขึ้นจริงๆนั้น อาจจะมาจากกฎหมายฉบับนี้มากกว่าด้วยครับที่ให้อำนาจในการตรวจสอบได้ง่ายขึ้น ซึ่งถ้าผ่านขึ้นมาจริงๆ แล้วเราไม่มีหลักฐานแสดงให้เชื่อว่าเราทำถูกต้องมันก็อาจจะเป็นปัญหาตามมาได้ครับ
ท้ายที่สุดนี้ พรี่หนอมเชื่อว่า สิ่งที่เราทำได้จริงๆ คือ การปรับตัวกับสิ่งที่จะออกมา โดยการเตรียมข้อมูล หลักฐาน และพิสูจน์ว่าเรานั้นมีรายได้ถูกต้องตามที่ยื่นภาษีจริง (หากถูกตรวจสอบขึ้นมา) เพราะตรงนี้ก็ถือว่าเป็นอีกหน้าที่หนึ่งของประชาชนครับ
เป็นกำลังใจให้กับทุกท่านสู้ต่อไปนะครับ เพราะทั้งหมดนี้มันคือจุดเริ่มต้นของการทำธุรกิจให้ถูกต้องทางกฎหมาย เพื่อความสบายใจในระยะยาวครับ