ว่าด้วยเรื่องของ การออม การวางแผนภาษี และ มนุษย์เงินเดือน – ตอนที่ 6 | กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ
กลับมาว่ากันต่อด้วยเรื่องของ การออม การวางแผนภาษี และ มนุษย์เงินเดือนในตอนที่ 6 กันครับ…
ที่จริงแล้ว ผมคิดว่าตอนนี้ควรจะเป็นตอนที่ 5.1 มากกว่า เพราะผมจะพูดถึง “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” ซึ่งเป็นเรื่องที่พูดต่อจาก “ประกันสังคม” สำหรับ “การออมภาคบังคับ” ที่ผมได้พูดถึงในคราวก่อนนะครับ
สำหรับตอนที่ 1-5 นั้น สามารถอ่านย้อนหลังได้ที่นี่ครับ
ว่าด้วยเรื่องของ การออม การวางแผนภาษี และ มนุษย์เงินเดือน – ตอนที่ 1
http://tax.bugnoms.com/tax/tax-saving-and-saving-plan-for-salaryman-1/ว่าด้วยเรื่องของ การออม การวางแผนภาษี และ มนุษย์เงินเดือน – ตอนที่ 2
http://tax.bugnoms.com/tax/tax-saving-and-saving-plan-for-salaryman-2/ว่าด้วยเรื่องของ การออม การวางแผนภาษี และ มนุษย์เงินเดือน – ตอนที่ 3
http://tax.bugnoms.com/tax/tax-saving-and-saving-plan-for-salaryman-3/ว่าด้วยเรื่องของ การออม การวางแผนภาษี และ มนุษย์เงินเดือน – ตอนที่ 4
http://tax.bugnoms.com/tax/tax-saving-and-saving-plan-for-salaryman-4/ว่าด้วยเรื่องของ การออม การวางแผนภาษี และ มนุษย์เงินเดือน – ตอนที่ 5
http://tax.bugnoms.com/tax/tax-saving-and-saving-plan-for-salaryman-5/
.
.
ผมขออนุญาตพูดย้อนไปนิดนึงเกี่ยวกับเรื่องของ “การออมภาคบังคับ” ซึ่งเป็นการออมที่ทางรัฐนั้นให้สิทธิทางกฏหมายแก่นายจ้างเพื่อที่จะบังคับออมเงินของเราครับ โดยหักออกจากเงินเดือนของเราทุกๆเดือน ซึ่งการออมภาคบังคับประเภท “ประกันสังคม และ กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” ก็มีที่มาจากแนวคิดที่ว่า ให้เราออมไว้เพื่อที่จะแบ่งเบาภาระของภาครัฐและประชากรวัยทำงานในอนาคตสำหรับการเลี้ยงดูผู้สูงอายุหรือผู้ที่ไม่มีงานทำ และเพื่อที่จะส่งเสริมให้ประชาชนมีการออมเงินไว้ใช้ในยามเกษียณ
ถ้าจะเอาง่ายๆ ก็คือ เค้ากลัวว่า ถ้าเราแก่จะไม่มีอะไรกินกันนั่นเองแหละครับ
:)
เมื่อพูดถึง กองทุนประกันสังคม แล้ว ผมก็ขอขยายความจากตอนที่แล้วเพิ่มเติมนิดหน่อยละกันนะครับ เนื่องจากมีเพื่อนๆหลังไมค์มาบอกว่า ทำไมคุณ (เมริง) ไม่อธิบายความหมายของประกันสังคมให้ฟังบ้างละ (โว้ย) …
กองทุนประกันสังคม มีวัตถุประสงค์เพื่อสร้างหลักประกันและความมั่นคงให้กับลูกจ้างหรือ “มนุษย์เงินเดือน” ที่จ่ายเงินสมทบเข้ากองทุน โดยมีความคุ้มครองแบ่งเป็น 7 ประเภท คือ กรณีเจ็บป่วยหรือประสบอันตราย กรณีคลอดบุตร กรณีทุพพลภาพ กรณีเสียชีวิต กรณีสงเคราะห์บุตร กรณีชราภาพ และกรณีการว่างงาน
ส่วนเรื่องการหักเงินเพื่อสมทบ คำนวณยังไงนั้น หวังว่า เพื่อนๆคงจะจำได้จากตอนที่แล้วนะครับ :)
.
.
ส่วนกองทุนสำรองเลี้ยงชีพ คือ กองทุนที่นายจ้างและลูกจ้างร่วมกันจัดตั้งขึ้น เงินของกองทุนมาจากเงินที่ลูกจ้างจ่ายส่วนหนึ่งเรียกว่า “เงินสะสม” และนายจ้างจ่ายเงินเข้าอีกส่วนหนึ่งเรียกว่า “เงินสมทบ” ซึ่งปกติแล้วนายจ้างจะสมทบให้เท่ากับ หรือ มากกว่า เงินที่ลูกจ้างจ่ายสะสมนะครับ
โดยกองทุนสำรองเลี้ยงชีพจะมีผู้บริหารมืออาชีพที่เรียกว่า “บริษัทจัดการ” เพื่อแสวงหาผลตอบแทนให้มากที่สุด และนำมาเฉลี่ยให้กับสมาชิกกองทุนทุกคนตามสัดส่วนของเงิน แต่ไม่มีการจ่ายเงินปันผลหรือดอกเบี้ยให้นะครับ เพราะกองทุนจะสะสมยอดเงินทั้งหมดให้เป็นก้อนใหญ่ เพื่อเก็บไว้รอจ่ายคืนให้สมาชิกที่สิ้นสุดความเป็นสมาชิก เช่น เมื่อลาออกจากงาน หรือเกษียณครับ
ถ้าจะแนะนำให้จำง่ายๆ “ประกันสังคม” เราออมเพื่อรักษาอาการเจ็บป่วยและเหตุฉุกเฉิน ส่วน “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” เราออมเพื่อใช้จ่ายยามเกษียณ นั่นเองครับ
.
.
มาถึงเรื่องสำคัญ ก็คือ “สิทธิประโยชน์ทางภาษี” สำหรับการออมเงินในแต่ละเดือนเข้า “กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ” มันมีเงื่อนไขยังไงกันบ้าง ลองมาดูกันครับ
“เงินที่จ่ายเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพ หักลดหย่อนได้ตามจำนวนที่จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 10,000 บาท ส่วนที่เกิน 10,000 บาท แต่ไม่เกิน 490,000 บาท เป็นเงินที่ได้รับยกเว้นภาษี โดยนำจำนวนเงินส่วนที่เกินดังกล่าวหักจากเงินได้พึงประเมิน ก่อนหักค่าใช้จ่ายตามจำนวนที่จ่ายจริงแต่ไม่เกิน 490,000 บาท “
อ่านจบแล้วงงไหมครับ ว่ามันแปลว่าอะไร?? บอกตรงๆเลยครับว่าในครั้งแรกที่อ่าน ผมก็งงเหมือนกันครับ ตกลงมันลดได้เท่าไรกันแน่นะ 10,000 บาทหรือ 490,000 บาท ผมคิดว่าหลายๆคนก็น่าจะงงเหมือนกับผม เลยทำสรุปออกมาเป็นรูปให้ดูครับ
ผมลองยกตัวอย่างง่ายๆ เพื่อให้เห็นภาพที่ชัดเจนขึ้น
คำถาม: นายป่าน จ่ายเงินสะสมเข้ากองทุนสำรองเลี้ยงชีพทั้งปีเป็นจำนวน 35,000 บาท จะมีวิธีการหักค่าลดหย่อนและยกเว้นภาษีเงินได้อย่าง
คำตอบ: นายป่านต้องนำเงินสะสมส่วนแรกไปหักออกจากค่าลดหย่อน จำนวน 10,000 บาท และนำเงินส่วนที่เหลืออีก 25,000 บาทไปยกเว้นภาษีเงินได้ครับ
(ตัวอย่างการกรอกแบบแสดงรายการ)
ถ้าเพื่อนๆสงสัยว่า ทำไมต้องออกกฎหมายมาในรูปแบบนี้ ไม่ออกกฎหมายให้ลดหย่อนเต็มจำนวนเป็น 500,000 บาทไปทีเดียวเลยล่ะผมมีความเห็นว่า น่าจะมีสาเหตุมาจากการที่กรมสรรพากรไม่ต้องการที่จะแก้ไขข้อกฎหมายเดิม แต่ต้องการตอบสนองนโยบายของรัฐที่ส่งเสริมให้คนออมเงิน เลยใช้วิธีการออกกฎหมายใหม่ที่ไม่ให้ขัดแย้งกับกฎหมายเดิมที่ออกมาก่อนหน้าครับ จึงออกมาเป็นสองข้อแบบนี้ครับ
ยังไงอาจจะเข้าใจยากหน่อย แต่อย่างน้อยหากมองในแง่ดีว่า …
ถ้าเราสามารถทำความเข้าใจเรื่องที่ยากๆแบบนี้ได้ ก็ถือว่าเรามีความรู้ที่จะลดหย่อนภาษีได้มากขึ้นนะครับ
.
.
ในตอนต่อไป ผมจะเริ่มพูดถึงเรื่องของ LTF และ RMF ที่เพื่อนๆ “มนุษย์เงินเดือน” ทุกคนอยากรู้กันนะครับ หากใครมีปัญหาอะไรก็เตรียมคำถามไว้ได้เลยครับ รับรองว่าตอบทุกคำถามอย่างชัดเจนแน่นอนครับ
สุดท้ายนี้ ก็เหมือนเดิมครับ (พูดมา 5 รอบแล้ว เบื่อกันบ้างไหมฮะ ^^)
ขออนุญาตฝาก Like และ Share เพื่อเป็นกำลังใจให้กับคนเขียนสักนิดบ้างนะคร้าบบบบ
:D