fbpx

อะไรสำคัญกว่า? การที่ธนาคารส่งข้อมูลบัญชีให้สรรพากร

โพสต์เมื่อ: 17 ม.ค. 2019

ป้ายกำกับ: ,


ตั้งแต่ปลายปี 2561 เมื่อ ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากรที่เกี่ยวกับการดำเนินงานตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงการพื้นฐานระบบการชำระเงินแบบอิเล็กทรอนิกส์แห่งชาติ (National e-Payment Master Plan) ประกาศออกมาว่าจะมีการบังคับใช้ และมีผลให้ธนาคารต้องส่งข้อมูลธุรกรรมเฉพาะให้กรมสรรพากร  กล่องข้อความแฟนเพจ TAXBugnoms ต้องร้อนระอุไปด้วยคำถามว่า “ธนาคารส่งบัญชีให้สรรพากรจริงไหม” “กฎหมายเริ่มใช้เมื่อไร” และ “ทำแบบนี้จะโดนส่งข้อมูลหรือเปล่า” มาจนถึงวันนี้ก็นับได้ร่วมๆหลายร้อยคำถาม จึงเป็นที่มาให้พรี่หนอมต้องเขียนบทความนี้เพื่ออธิบายความชัดเจนของเรื่องนี้อีกสักครึ่งหนึ่งครับ

เคลียร์ให้ชัด กฎหมายนี้ ไม่ใช่พรบ.เก็บภาษีผู้ค้าออนไลน์

ประเด็นแรก ผมขอเคลียร์ให้ชัดก่อนว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ไม่ใช่กฎหมายในการจัดเก็บภาษีผู้ค้าออนไลน์ หรือคนขายของออนไลน์ทั้งหลาย เพราะหลักการสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้ เพียงแค่บอกว่าธนาคาร หรือ สถาบันการเงิน มีหน้าที่นำส่งข้อมูลให้กับกรมสรรพากร หากมีรายการรับเงินเข้าบัญชีตามที่กำหนดไว้ เท่านั้น ไม่ได้มีอะไรเกี่ยวข้องกับการเก็บภาษีคนขายของออนไลน์เลยแม้แต่น้อย แต่มันเกี่ยวข้องกับคนทุกคนในประเทศไทยต่างหากครับ

ดังนั้น ขอความกรุณาแยกประเด็นก่อนนะครับว่า คนทำอาชีพขายของออนไลน์ที่มีรายได้ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษี ย่อมมีหน้าที่เสียภาษีตามปกติไปเหมือนกับบุคคลธรรมดาที่มีรายได้คนอื่นๆ อยู่แล้ว ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับกฎหมายฉบับนี้ และถ้าผ่านมาถ้าคุณไม่เสียภาษี นั่นแปลว่าคุณกำลังทำผิดกฎหมายอยู่ต่างหากครับ!

ถ้าหากคุณเป็นคนขายของออนไลน์ที่ไม่เข้าใจว่าขายของออนไลน์ต้องเสียภาษียังไงแบบไหน ผมแนะนำให้สละเวลาดูคลิปนี้สัก 30 นาทีครับ มันจะช่วยให้ชีวิตคุณดีขึ้นและยื่นภาษีได้อย่างถูกต้องมากขึ้่นครับ

สรรพากรมีอำนาจตรวจสอบข้อมูลการเสียภาษีของเราอยู่แล้ว
แม้ว่าจะไม่มีร่างกฎหมายฉบับนี้ออกมาก็ตาม

นอกจากเรื่องของการส่งข้อมูลธนาคารให้กรมสรรพากรแล้ว อีกประเด็นหนึ่งที่เข้าใจผิดไม่แพ้กัน นั่นคือ คนส่วนใหญ่เข้าใจว่าเมื่อสรรพากรต้องได้ข้อมูลบัญชีที่เข้าเกณฑ์เหล่านี้ไปเสียก่อน ถึงจะตรวจสอบข้อมูลการเงินของเราเพื่อจัดเก็บภาษีได้ แต่ความจริงแล้ว สรรพากรมีอำนาจตรวจสอบอยู่แล้วตามกฎหมายเดิม (มาตรา 19 แห่งประมวลรัษฏากร) ที่ระบุไว้ชัดเจนว่า เจ้าหน้าที่สรรพากรสามารถเรียกผู้ที่สงสัยมาไต่สวน และให้นำเอกสารมาแสดงได้ตามที่เจ้าพนักงานต้องการ และถ้าหากทางสรรพากรต้องการข้อมูลบัญชีธนาคารทั้งหมดของเราจริง (เนื่องจากมีข้อสงสัยว่าเสียภาษีไว้ไม่ถูกต้อง) ก็สามารถทำได้ทันทีโดยที่ไม่ต้องสนใจกฎหมายฉบับนี้ด้วยซ้ำ!

มาตรา 19 เว้นแต่จะมีบทบัญญัติไว้เป็นอย่างอื่น กรณีที่เจ้าพนักงานประเมินมีเหตุอันควรเชื่อว่า ผู้ใดแสดงรายการตามแบบที่ยื่นไม่ถูกต้องตามความจริงหรือไม่บริบูรณ์ ให้เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจออกหมายเรียกผู้ยื่นรายการนั้นมาไต่สวน และออกหมายเรียกพยานกับสั่งให้ผู้ยื่นรายการหรือพยานนั้น นำบัญชีเอกสารหรือหลักฐานอื่นอันควรแก่เรื่องมาแสดงได้ แต่ต้องให้เวลาล่วงหน้าไม่น้อยกว่าเจ็ดวันนับแต่วันส่งหมาย ทั้งนี้ การออกหมายเรียกดังกล่าว จะต้องกระทำภายในเวลาสองปี นับแต่วันที่ได้ยื่นรายการไม่ว่าการยื่นรายการนั้น จะได้กระทำภายในเวลาที่กฎหมายกำหนด หรือเวลาที่รัฐมนตรีหรืออธิบดีขยายหรือเลื่อนออกไปหรือไม่ ทั้งนี้ แล้วแต่วันใดจะเป็นวันหลัง เว้นแต่กรณีปรากฏหลักฐานหรือมีเหตุอันควรสงสัยว่าผู้ยื่นรายการมีเจตนาหลีกเลี่ยงภาษีอากร หรือเป็นกรณีจำเป็นเพื่อประโยชน์ในการคืนภาษีอากร อธิบดีจะอนุมัติให้ขยายเวลาการออกหมายเรียกดังกล่าวเกินกว่าสองปีก็ได้ แต่ต้องไม่เกินห้าปีนับแต่วันที่ได้ยื่นรายการ แต่กรณีขยายเวลาเพื่อประโยชน์ในการคืนภาษีอากรให้ขยายได้ไม่เกินกำหนดเวลาตามที่มีสิทธิขอคืนภาษีอากร

สรุปอีกทีว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้ ไม่ได้เพิ่มอำนาจในการตรวจสอบของกรมสรรพากร (ที่มีมากอยู่แล้ว) และไม่ได้เกี่ยวข้องกับการเรียกเก็บภาษีผู้ค้าออนไลน์ใดๆด้วยซ้ำ โดยทางกรมสรรพากรเองได้ออกมาแถลงหลายครั้งแล้วว่า นำข้อมูลที่ได้ไปใช้ วิเคราะห์ข้อมูลและพฤติกรรมผู้เสียภาษี ร่วมกับเกณฑ์อื่นๆ เพื่อให้พัฒนาการให้บริการได้ดีขึ้น รวมถึงใช้ จัดกลุ่มผู้เสียภาษีตามเกณฑ์ความเสี่ยง เพื่อแยกระหว่างคนที่เสียภาษีถูกต้องกับคนที่ทำผิดกฎหมายให้ชัดเจนต่อไป

มาถึงตรงนี้ ถ้าหากใครยังไม่เชื่อที่กรมสรรพากรแถลงออกมา อันนั้นถือเป็นสิทธิของแต่ละคนครับ ผมไม่มีหน้าที่บังคับให้ใครเชื่อ แต่อย่างไรก็ดี สิ่งที่ทุกคนควรรู้แม้ว่าจะเชื่อหรือไม่เชื่อคำแถลงของกรมสรรพากรก็ตาม นั่นคือ ประเด็นสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้จริงๆ คืออะไรกันแน่?

ร่างกฎหมายฉบับนี้ ไม่ใช่แค่การส่งข้อมูลธนาคาร
แต่มันคือการยกระดับสู่ระบบอิเล็กทรอนิคส์ของกรมสรรพากร

หลังจากหยิบร่างกฎหมายฉบับนี้ออกมาวิเคราะห์แบบจริงจัง ผมเห็นว่าประเด็นสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้มีอยู่ 3 เรื่อง ได้แก่ การนำส่งข้อมูลและจัดทำเอกสารส่งกรมสรรพากรโดยวิธีอิเล็กทรอนิคส์ การส่งข้อมูลบัญชีให้กับกรมสรรพากร และคำสั่งลงโทษทางปกครองกรณีเจ้าพนักงานฝ่าฝืนปฎิบัติหน้าที่โดยมิชอบ

โดยส่วนตัว ผมเลือกตัดประเด็นสุดท้ายออกไปก่อนเลย เพราะไม่ได้มีผลกระทบอะไรต่อคนที่มีหน้าที่เสียภาษี แต่มองว่า ประเด็นสำคัญของร่างกฎหมายฉบับนี้ คือ เรื่องของการนำส่งข้อมูลและจัดทำเอกสารอิเล็กทรอนิคส์ต่างหาก เพราะมันคือส่วนหนึ่งของการยกระดับกรมสรรพากรสู่ระบบอิเล็กทรอนิคส์เต็มรูปแบบ ทั้ง E-Witholding TAX, E-TAX invoice รวมถึงเรื่องอื่นๆ ที่จะทำให้นโยบาย National E-Payment เดินทางต่อไป

ถ้าใครได้อ่านบทความเรื่อง Welcome To ยุค 3E : ความน่ากลัวที่แท้จริงของระบบจัดเก็บภาษีไทย จะพบว่า ระบบ E-Witholding TAX นั้นเป็นระบบที่สถาบันการเงินจะหักภาษีและเป็นผู้ยื่นให้กรมสรรพากรแทนทั้งหมด ส่วนระบบ E-TAX invoice นี่จะทำให้ผู้จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มสามารถส่งเอกสารและยื่นข้อมูลการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มผ่านระบบอิเล็คทรอนิคส์ได้สะดวกมากขึ้น ซึ่งเป็นเรื่องที่เจ้าของธุรกิจทั้งหลายควรสนใจเพื่อปรับตัวรองรับเรื่องต่างๆเหล่านี้ ไปจนถึงการทำข้อมูลบัญชีชุดเดียวให้ถูกต้องตามความเป็นจริงของธุรกิจในระยะยาว

แต่อย่างไรก็ดาม ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนส่วนใหญ่จะสนใจเรื่องการส่งข้อมูลบัญชีธนาคารให้กรมสรรพากรมากกว่า เนื่องจากมันเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อข้อมูลส่วนตัวและการเสียภาษีของประชาชนในระยะสั้นนั่นเองครับ

เอาล่ะครับ… เรามาดูกันต่อว่า สรุปแล้วการส่งข้อมูลที่ว่านี้มันมีประเด็นอะไรสำคัญ และเราควรจะรู้เรื่องอะไรบ้าง

อธิบายกันชัดๆ แบบไม่หมกเม็ดเรื่องที่ต้องรู้
เรื่องธนาคารส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร

1. ใครมีหน้าที่ส่งข้อมูลให้กับกรมสรรพากรบ้าง?
ตอบ : ธนาคาร สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการอิเล็กทรอนิคส์เป็นคนส่งข้อมูล โดยแยกเป็นรายบุคคลตามแต่ละผู้ให้บริการ ไม่ได้เชื่อมโยงข้อมูลของทุกที่เข้าหากัน

2. ข้อมูลแบบไหนที่จะถูกส่งให้กับกรมสรรพากร
ตอบ : ร่างกฎหมายกำหนดให้ส่งข้อมูลโดยขึ้นอยู่กับ จำนวนครั้งการฝากหรือรับโอนเงินทุกบัญชีรวมกัน ซึ่งต้องเป็นไปตามเงื่อนไขดังต่อไปนี้

1) ตั้งแต่ 3,000 ครั้งขึ้นไปต่อปีต่อธนาคารหรือสถาบันการเงิน
2) ตั้งแต่ 400 ครั้งขึ้นไปต่อปีต่อธนาคารหรือสถาบันการเงิน และ ต้องมียอดรวมจำนวนเงินตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไปด้วย (เข้าทั้งสองเงื่อนไข เงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งไม่ได้)

ยกตัวอย่าง เช่น นายบักหนอม มีบัญชีกับธนาคาร A จำนวน 10 บัญชี เมื่อนับข้อมูลรับฝากเงินทุกบัญชีรวมกัน ไม่ถึง 3,000 ครั้ง แบบนี้ธนาคารจะไม่ส่งข้อมูลให้กับกรมสรรพากร

หรือ นายบักหนอม มีบัญชีกับธนาคาร B โดยมียอดรับฝากเงินทุกบัญชีรวมกันทั้งหมด 500 ครั้ง แต่ยอดรวมเงินไม่ถึง 2 ล้านบาท แบบนี้ก็ไม่ถูกส่งข้อมูลเช่นกันครับ (เพราะต้องเข้าทั้งสองเงื่อนไข)

3. จำนวนครั้งรับฝากเงินที่ว่า รวมยอดรับเงินแบบไหนบ้าง เป็นเช็คนับไหม เงินสดนับไหม โอนเงินนับไหม?
ตอบ : นับทุกรายการรวมกันหมด ขอให้เป็นยอดเงินที่เข้าบัญชีก็พอ ไม่สนใจหรอกว่าจะเข้าเป็นแบบไหนยังไงบ้าง  แต่มีข่าวดีล่าสุด คือ ท่านโฆษกกรมสรรพากรชี้แจงเพิ่มเติมว่าร่างกฎหมายนี้อยู่ระหว่างการหารือข้อมูลเพิ่มเติม เพื่อให้เป็นธรรมกับการส่งข้อมูลมากขึ้นครับ โดยจะไม่นับข้อมูลผู้ที่ฝาก โอน หรือถอนเงินเข้าบัญชีตัวเอง รวมถึงไม่นับจำนวนการเปิดบัญชีครั้งแรก 2 ล้านบาท และยังอยู่ในการหารือว่าการเปิดบัญชีร่วมจะต้องนับเป็นข้อมูลใคร ซึ่งตรงนี้ต้องรอกฎหมายออกมาบังคับใช้จริงและ ดูกฎหมายอื่นๆที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ประกอบกันครับ

4. ข้อมูลอะไรบ้างที่ธนาคารหรือสถาบันการเงินจะส่งให้กับกรมสรรพากร
ตอบ : ข้อมูลที่ส่งคือ เลขบัตรประชาชน ชื่อ นามสกุล จำนวนครั้ง และจำนวนเงิน

5. กฎหมายบังคับใช้เมื่อไรกันแน่?
ตอบ : ณ วันนี้ (วันที่เขียนบทความ คือ 16 มกราคม 2562) ร่างกฎหมายฉบับนี้ยังไม่ออกประกาศใช้เป็นกฎหมาย ดังนั้นคงตอบไม่ได้ว่าจริงๆแล้วจะบังคับเมื่อไร แต่ถ้าพิจารณาจากมาตรา 5 ในร่างกฎหมายฉบับนี้ ระบุไว้ชัดเจนให้ธนาคารและสถาบันการเงินส่งข้อมูลครั้งแรกให้กรมสรรพากรภายใน 31 มีนาคม 2563 แต่ถ้าหากพิจารณาคำแถลงล่าสุดของท่านโฆษกกรมสรรพากรในช่วงต้นเดือนมกราคม 2562 จะได้ยินว่า กฎหมายเลื่อนบังคับใช้เป็นปี 2563 และจะมีผลต่อการยื่นภาษีปี 2564

มาถึงตรงนี้ ถ้าเราเป็นคนทำธุรกิจสิ่งที่เราต้องถามตัวเอง คือ ตอนนี้เรามีข้อมูลและข้อเท็จจริงอะไร รวมถึงเราได้เตรียมตัวสำหรับเรื่องนี้ไว้อย่างไรบ้าง?

สิ่งสำคัญ ไม่ใช่การเปิดบัญชีกระจายหลายธนาคาร
แต่มันคือการรู้ข้อมูลตัวเองต่างหาก

ทุกครั้งที่ได้ยินคนกลัวร่างกฎหมายฉบับนี้ ผมมักจะตั้งคำถามกลับไปว่า วันนี้คุณมีข้อมูลการเงินของตัวเองหรือยัง (ข้อมูลการทำธุรกิจ บัญชีรายรับรายจ่าย)  เพราะถ้าคุณไม่มีข้อมูลที่ถูกต้อง ต่อให้สรรพากรจะตรวจหรือไม่ตรวจคุณก็ตาม มันแปลว่าคุณไม่ได้มีปัญหาแค่เรื่องภาษี แต่ธุรกิจคุณกำลังมีปัญหาเรื่องการจัดการการเงินทั้งหมดต่างหากครับ

ผมเคยเขียนอธิบายการวิเคราะห์ข้อมูลไว้ที่เพจ พรี่หนอมสอนภาษีธุรกิจ ไว้เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทั้งเรื่องของการวิเคราะห์ข้อมูลตั้งแต่ต้นทุนไปจนถึงเรื่องภาษีอย่างละเอียดครับ ถ้าใครสนใจลองอ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความนี้ครับ สรุปครบทุกประเด็น พร้อมต้อนรับปี 2019 สำหรับการเตรียมตัวเรื่องภาษีขายของออนไลน์

ถ้าอยากจะรับมือร่างกฎหมายฉบับนี้จริงๆ
ควรเริ่มต้นจากขั้นตอนต่อไปนี้

ทีนี้ เรามาพูดถึงวิธีการจัดการด้านการเงินและภาษีของธุรกิจ เพื่อเตรียมตัวให้พร้อมกับร่างกฎหมายฉบับนี้กันบ้าง โดยเริ่มต้นจากขั้นตอนดังต่อไปนี้ครับ

1. แยกบัญชีส่วนตัวกับบัญชีธุรกิจ เพราะว่าการแยกบัญชีนั้น คือ ประเด็นสำคัญที่คุณจะแยกกระเป๋าเงินเพื่อบริหารจัดการและบอกที่มาของรายการแต่ละรายการได้ง่ายขึ้น และต่อให้ถูกตรวจสอบขึ้นมาจริงๆ คุณจะมีข้อมูลที่ถูกต้องไว้ตอบคำถามได้ง่ายขึ้น

2. ทำบัญชีรายรับรายจ่ายให้ถูกต้อง โดยหมายถึง ทำบัญชีให้ตรงตามข้อเท็จจริงของธุรกิจ เพื่อให้สะท้อนข้อมูลจริงของธุรกิจ ไม่ใช่ทำเพื่อประหยัดภาษี หรือว่าเลี่ยงการตรวจสอบของสรรพากรนะครับ แต่ทำเพื่อให้มีข้อมูลอ้างอิงในการยื่นภาษี และเป็นข้อเท็จจริงในการชี้แจงต่อกรมสรรพากรหากถูกตรวจสอบครับ

นอกจากนั้นยังควรเก็บเอกสารหลักฐานต่างๆไว้ให้ครบถ้วนด้วยครับ เพราะกฎหมายว่ากันด้วยหลักฐานและข้อเท็จจริง การมีหลักฐานที่ดีย่อมจะช่วยให้ชีวิตเราง่ายขึ้นครับ

3. ศึกษาหาความรู้เรื่องบัญชีและภาษี ติดตามข่าวกฎหมายอัพเดทเสมอจากแหล่งความรู้ที่เชื่อถือได้ ถ้าหากอยากจะบริหารจัดการเรื่องภาษีได้ดีขึ้น เรื่องสำคัญที่เจ้าของธุรกิจหรือคนส่วนใหญ่ควรรู้และติดตาม คงไม่พ้นเรื่องของภาษีและบัญชีครับ

ถ้าใครสนใจอยากศึกษาความรู้เรื่องของภาษีต่างๆเพิ่มเติม สามารถโหลดอ่านอีบุ๊กฟรีที่ผมเคยเขียนไว้ได้ที่ Line @TAXBugnoms ครับ เพียงแค่กดเพิ่มเพื่อนแล้วกดที่เมนูหนังสือฟรีได้เลยตามตัวอย่างด้านล่างนี้ครับ

 

 

บทสรุปสุดท้ายของเรื่องนี้
การจัดการภาษีธุรกิจ เริ่มต้นที่ความคิด

ผมมีความเชื่อว่า … ความรู้สึกไม่อยากเสียภาษีนั้นเป็นเรื่องปกติของคนทุกคน จากข่าวต่างๆที่ปรากฎมาตามสื่อ จากเรื่องราวต่างๆที่ได้เห็น ทำให้หลายคนรู้สึกว่าการเสียภาษีนั้นมันไม่คุ้มค่าเอาเสียเลย แต่อย่างไรก็ตามเราทุกคนปฎิเสธไม่ได้ว่า การเสียภาษีเป็นหน้าที่ตามกฎหมาย

ถึงแม้ว่า การทำถูกต้องนั้นต้องแยกบัญชี ทำรายรับรายจ่ายต่างๆ ยุ่งยาก วุ่นวาย แต่ไอ้ความวุ่นวายและยุ่งยากนี่แหละ จะทำให้ธุรกิจไปได้แบบไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลังเรื่องภาษีอีกต่อไป

หลายคนมักจะถามผมว่า ถ้าอยากเริ่มต้นจัดการภาษีควรจะเริ่มอย่างไรดี คำตอบของผมคือ เริ่มต้นจากความคิดที่ถูกต้องก่อน โดยรู้ตัวว่าตอนนี้เราทำอะไรอยู่? ทำถูกต้องตามกฎหมายไหม? และมีอะไรที่เราต้องเรียนรู้เพิ่มเติมอีกหรือเปล่า ค่อยๆปรับปรุงทำความเข้าใจเรียนรู้ไปเรื่อยๆ เพราะไม่มีใครรู้เรื่องภาษีมาตั้งแต่แรกหรอกครับ

สุดท้ายนี้ ขอเป็นกำลังให้ทุกคนที่อ่านบทความมาถึงบรรทัดนี้นะครับ อย่างน้อยก็ถือว่าคุณได้เริ่มต้นเรียนรู้เรื่องภาษีธุรกิจไปอีกก้าวหนึ่งแล้วล่ะครับ :)

error: เว็บไซต์ป้องกันการ copy