กลับมาอีกครั้งกับมาตรการบัญชีชุดเดียว : จ่ายแค่ภาษี ไม่มี “เบี้ยปรับ-เงินเพิ่ม”
คลังออกมาตรการบัญชีชุดเดียว เปิดให้จดแจ้งแสดงตนรอบใหม่ภายใน มิ.ย. 2562 นี้ เผยรอบแรก มีผู้เข้าร่วมเกือบ 5 แสนราย แต่ยังทำบัญชีเสียภาษีไม่ถูกต้องเพียบ เปิดทางรายเก่า-ใหม่เข้ามาเคลียร์ภาษีให้ถูกต้อง
เมื่อหลายวันก่อน พรี่หนอมเห็นพาดหัวข่าวนี้แล้วก็ได้แต่คิดในใจว่า “กลับมาอีกแล้วสินะ” สำหรับมาตรการบัญชีชุดเดียวแบบนี้ ซึ่งใครหลายคนอาจจะคุ้นเคยกับชื่อ “นิรโทษกรรมทางภาษี” มากกว่าก็ตาม เพราะฟังแล้วรู้สึกว่าได้อารมณ์กว่า (ฮ่าๆ)
เอาเป็นว่าขออนุญาตย้อนรำลึกอีกทีละกันครับว่า มาตรการบัญชีชุดเดียวที่ผ่านมานั้น มันมีที่มายังไงบ้าง พร้อมกับแนะนำวิธีการตรวสอบสิทธิประโยชน์อีกที ว่าบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนของเรานั้นยังมีสิทธิอยู่หรือเปล่าครับผม
มาตรการบัญชีชุดเดียว ปี 2559
เมื่อวันที่ 1 มกราคม 2559 มีกฎหมายออกมา 2 ฉบับที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา คือ พระราชกำหนดยกเว้นและสนับสนุนการปฎิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากร และ พระราชกฤษฏีกาออกความตามประมวลรัษฏากร (ฉบับที่ 595) เนื่องจากทางรัฐมองว่ามีความจำเป็นที่ประเทศไทยต้องปรับปรุงระบบการจัดเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสนับสนุนให้ผู้เสียภาษีทั้งหลายมีการจัดทำบัญชีให้สอดคล้องกับข้อเท็จจริงของกิจการ โดยสรุปเนื้อหากฎหมายออกมาเป็นดังนี้ครับ
ผู้มีสิทธิจดแจ้งตามมาตรบัญชีชุดเดียว : บริษัทห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่มีรายได้ไม่เกิน 500 ล้านบาทที่เกิดขึ้นในรอบบัญชีครบกำหนด 12 เดือนที่ผ่านมา และวันสุดท้ายของรอบต้องภายในวันที่ 31 ธันวาคม 2558
สิทธิที่ได้รับยกเว้น : ยกเว้นจากการตรวจสอบ ไต่สวน ประเมิน หรือสั่งให้เสียภาษีอากร และความผิดทางอาญาตามประมวลรัษฏากร
สิ่งที่ยกเว้นให้ : รายได้ ฐานภาษี รายรับ หรือการกระทำตราสาร ที่เกิดขึ้นก่อนวันที่ 1 มกราคม 2559
สิ่งที่ผู้มีสิทธิต้องทำ : ประกอบด้วยขั้นตอนดังต่อไปนี้ครับ
1) จดแจ้งต่อกรมสรรพากร ในช่วงวันที่ 15 มกราคม 2559 – 15 มีนาคม 2559
2) ยื่นแบบแสดงรายการต่างๆ (ภาษีเงินได้นิติบุคคล ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ อากรแสตมป์) พร้อม “ชำระภาษี” (ถ้ามี) ให้ถูกต้อง ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป
3) จัดทำบัญชี งบการเงินให้สอดคล้องกับความเป็นจริงของกิจการตั้งแต่รอบบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป รวมถึงไม่กระทำการใดๆ ที่เป็นการหลีกเลี่ยงภาษีอากร
หลังจากนั้น จะได้รับสิทธิประโยชน์ทางภาษีเพิ่มเติมตามกฎหมายอีกฉบับ สำหรับ บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ไม่มีทุนชำระในวันสุดท้ายของรอบระยะเวลาบัญชีใดเกิน 5 ล้านบาท และ ไม่มีรายได้จากการขายสินค้าและให้บริการในรอบบัญชีใดเกิน 30 ล้านบาท โดยได้รับสิทธิยกเว้นและลดอัตราภาษี ดังนี้ครับ
1. ยกเว้นภาษี สำหรับกำไรสุทธิที่เกิดขึ้นในรอบบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2559 แต่ไม่เกิน 31 ธันวาคม 2559 หรือพูดกันสั้นๆง่ายๆว่ารอบบัญชีปี 2559 ไม่ต้องเสียภาษี
2. ยกเว้นภาษี กำไรสุทธิ 300,000 บาทแรก สำหรับรอบบัญชีที่เริ่มในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2560 แต่ไม่เกิน 31 ธันวาคม 2560 และเสียภาษีในอัตราร้อยละ 10 สำหรับกำไรส่วนที่เกิน 300,000 บาท โดยไม่มีการกำหนดเพดานจำนวน 3,000,000 บาท ไว้เหมือนเมื่อแต่ก่อน (อ้างอิง : ตาม พ.ร.ฎ. ฉบับที่ 530 แก้ไขเพิ่มเติมโดย พ.ร.ฎ. 564 และ พ.ร.ฎ. 583)
วิธีตรวจสอบสิทธิประโยชน์ตามนโยบายนี้
สำหรับคนที่ไม่แน่ใจว่า บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลของเราเคยจดแจ้งตามมาตรการบัญชีชุดเดียวหรือไม่ พรี่หนอมแนะนำให้ตรวจสอบได้จากลิงค์นี้ครับ ตรวจสอบสิทธิประโยชน์ตามมาตรการบัญชีชุดเดียว
ถ้าหากได้รับสิทธิประโยชน์ ก็จะมีข้อมูลขึ้นมาแจ้งว่าเราได้รับสิทธิครับ เป็นอันจบว่าเราเคยจดแจ้งตามมาตรการบัญชีชุดเดียวไปแล้ว และได้รับสิทธิประโยชน์เรื่องนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้วนั่นเองครับ
เรื่องยังไม่จบ เพราะมาตรการนี้กลับมาแล้วจ้า
เพียงแต่ไม่ได้มีมาตรการยกเว้นภาษี แต่ให้สิทธิยกเว้นเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
เมื่อช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ 2562 ที่ผ่านมา ทางกรมสรรพากรได้เปิดรับฟังความคิดเห็นต่อร่างพระราชบัญญัติยกเว้นเบี้ยปรับ เงินเพิ่มภาษีอากร และความรับผิดทางอาญา เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร ซึ่งเป็นไปตามนโยบายมาตรการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการจัดทำบัญชีให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ (บัญชีชุดเดียว)
จากที่ทราบข่าวมา ร่างกฎหมายตามมาตรการบัญชีชุดเดียวนี้กำลังจะผ่านใช้เป็นกฎหมายเร็วนี้ๆครับ (ปัจจุบันออกเป็นกฎหมายพระราชบัญญัติยกเว้นเบี้ยปรับ เงินเพิ่มภาษีอากรและความรับผิดทางอาญา เพื่อสนับสนุนการปฏิบัติการเกี่ยวกับภาษีอากรตามประมวลรัษฎากร พ.ศ. 2562 เมื่อวันที่ 25 มีนาคม 2562 ที่ผ่านมา) ซึ่งประเด็นสำคัญที่อยากgohoให้เข้าใจกันชัดๆก็คือ กฎหมายฉบับนี้ไม่มีการยกเว้นภาษี แต่ให้สิทธิยกเว้นแค่เบี้ยปรับและเงินเพิ่มเท่านั้น หรือให้พูดง่ายๆ ก็คือ ต้องเสียภาษีเหมือนเดิม แต่ไม่เสียค่าปรับและดอกเบี้ยนั่นเองครับ
โดยเหตุผลที่กฎหมายฉบับนี้ออกมา พรี่หนอมมองว่าทางภาครัฐต้องการให้ประชาชนยื่นเสียภาษีได้อย่างถูกต้องมากขึ้น โดยการลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มก็เป็นการจูงใจอีกทางหนึ่งที่จะทำให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลทั้งหลายยินยอมเสียภาษีย้อนหลัง (ที่ทำไม่ถูกต้อง) ได้ง่ายขึ้นนั่นเองครับ
สิทธิประโยชน์ลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มนี้ให้กับใครบ้าง?
พระราชบัญญัติฉบับนี้ให้สิทธิประโยชน์สำหรับธุรกิจที่เป็น “นิติบุคคล” หรือบริษัทและห้างหุ้นส่วนขนาดกลางและขนาดย่อมเท่านั้น โดยกำหนดเงื่อนไขไว้ดังนี้ครับ
1. ต้องมีรายได้จากรอบบัญชี 12 เดือนล่าสุด (วันสุดท้ายของรอบบัญชีทีสิ้นสุดก่อน 30 กันยายน 2561) ไม่เกิน 500 ล้านบาท โดยนิติบุคคลดังกล่าวต้องยื่นภาษีเงินได้สำหรับรอบล่าสุดนี้ไว้เรียบร้อยก่อนกฎหมายฉบับนี้ใช้บังคับ
2. ไม่โดนกรมสรรพากรร้องทุกข์ไว้ต่อพนักงานสอบสวน (หรือพูดง่ายๆว่าฟ้องร้อง) ว่าเป็นผู้ออกหรือผู้ใช้ใบกำกับภาษีไม่ชอบด้วยกฎหมาย หรือมีการกระทำผิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
3. ต้องไปลงทะเบียนตามหลักเกณฑ์วิธีที่กรมสรรพากรภายใน 30 มิถุนายน 2562 (ตรงนี้คาดว่าต้องรอกฎหมายลูกหรือประกาศอีกทีหนึ่งครับ)
จากข้อกฎหมายตรงนี้จะเห็นว่าไม่มีเงื่อนไขระบุให้จดแจ้งตามมาตรการบัญชีชุดเดียวก่อนหน้านี้ ดังนั้นถ้าหากใครที่ไม่ได้จดแจ้งตามกฎหมายที่ออกมาก่อนหน้านี้ในปี 2559 ก็ยังสามารถใช้สิทธิประโยชน์ตัวนี้ได้เช่นเดียวกันครับ หรือถ้าหากใครมองว่าตัวเองไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ยื่นภาษีที่ผ่านมาไว้ครบถ้วน จะไม่ลงทะเบียนก็สามารถทำได้เช่นเดียวกันครับ
เน้นอีกทีว่า สิทธิประโยชน์ตรงนี้ ไม่ได้ยกเว้นภาษีให้
มีแค่ยกเว้นเบี้ยปรับและเงินเพิ่มเท่านั้น
สิทธิประโยชน์ในการลดเบี้ยปรับและเงินเพิ่มดังกล่าวจะได้รับเมื่อยื่นภาษีเท่านั้นครับ โดยยื่นให้ครบถ้วนภายในวันที่ 30 มิถุนายน 2562 และให้สิทธิสำหรับประเภทภาษีต่อไปนี้ครับ
1. ภาษีเงินได้สำหรับรอบที่เริ่มต้นในหรือหลังวันที่ 1 มกราคม 2559 – 31 ธันวาคม 2560
2. ภาษีมูลค่าเพิ่มและธุรกิจเฉพาะ สำหรับเดือนมกราคม 2559 – เดือนก่อนร่างกฎหมายฉบับนี้ใช้บังคับ
3. อากรแสตมป์ทีต้องชำระเป็นตัวเงิน ที่ได้กระทำตั้งแต่ 1 มกราคม 2559 เป็นต้นไป
นอกจากนั้น ยังกำหนดให้ยื่นชำระภาษีทุกประเภท (ที่มีหน้าที่หักและนำส่ง – ตรงนี้คงหมายความรวมถึงภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่่ายด้วยครับ) สำหรับธุรกรรมที่เกิดขึ้นหลัง 1 มกราคม 2559 จนถึงวันที่ 30 มิถุนายน 2562 ให้ถูกต้องด้วยเช่นกันครับ
หรือพูดง่ายๆว่า ให้ยื่นภาษีทั้งหมดที่ผ่านมาให้ถุกต้องนั่นเอง
สำคัญกว่า!! หลังจากนั้นต้องเข้าสู่ระบบ e-Filing ด้วยนะ
เพื่อยื่นภาษีผ่านอินเตอร์เน็ตต่อไปให้ถูกต้อง
นอกจากร่างกฎหมายฉบับนี้จะออกมาให้เรายื่นภาษีย้อนหลังตามที่ว่ามาแล้ว ยังมีเงื่อนไขเพิ่มเติมบอกให้เข้าสู่ระบบการยื่นแบบผ่านอินเตอร์เน็ตสำหรับภาษีทุกประเภทเป็นเวลา 1 ปี คือ นับตั้งแต่ 1 กรกฎาคม 2562 – 30 กันยายน 2563 อีกด้วย ซึ่งนี่เป็นเงื่อนไขทางกฎหมายที่กำหนดไว้ ไม่ใช่ขอความร่วมมือนะครับ ดังนั้นถ้าใครอยากได้สิทธิยกเว้นเบี้ยปรับและเงินเพิ่มตามมาตรการบัญชีเดียวชุดใหม่นี้ ก็ต้องยื่นแบบผ่านอินเตอร์เน็ตต่อไปหลังจากนี้ด้วยครับ
ส่วนเรื่องของการปรับปรุงและแก้ไขกฎหมายนั้น ให้ยึดตามแนวทางการปฎิบัติของทางสภาวิชาชีพบัญชีครับ (อ่านเพิ่มเติมได้ที่ ตัวอย่างเพื่อประกอบความเข้าใจในการปรับปรุงบัญชีเพื่อแก้ไขข้อผิดพลาด) ซึ่งถ้าหากมีโอกาสจะมาอัพเดทและอธิบายประเด็นนี้ให้ฟังกันอีกทีนะครับผม
ในมุมมองที่ดี กฎหมายฉบับนี้ก็ออกมาช่วยผ่อนปรนกันอีกทีสำหรับคนที่เคยจดแจ้งบัญชีชุดเดียวไว้ และยังยื่นภาษีไม่ถูกต้อง แต่นั่นก็คือต้องมีการปรับปรุงแก้ไขสิ่งที่ผิดพลาดในอดีต และรีบยื่นภาษีให้ไวที่สุดก่อน 30 มิถุนายน 2562 หลังจากนั้นก็เข้าสู่ระบบ E-Filing ต่อไป เพื่อที่จะได้รับสิทธิครบถ้วนทั้งหมด และทางภาครัฐก็ได้เงินภาษี พร้อมกับจำนวนรายที่เข้าสู่ระบบการยื่นแบบผ่านอินเตอร์เน็ตเพิ่มขึ้นอีกด้วยครับ
แต่ถ้ามองกันในอีกแง่หนึ่ง กฎหมายฉบับใหม่นี้อาจจะทำให้เราตั้งคำถามว่า แล้วที่ผ่านมา 3 ปีก่อนหน้านี้ ทำไมธุรกิจที่เป็นนิติบุคคลทั้งหลายนั้นถึงไม่ได้ปรับปรุงเรื่องภาษีให้ถูกต้องมาตั้งแต่กฎหมายฉบับแรก (ปี 2559) ทั้งๆที่กฎหมายก่อนหน้านี้ให้ประโยชน์ตรงส่วนนี้ค่อนข้างมากอยู่แล้ว
และคำถามสุดท้ายคือ ธุรกิจที่ทำเรื่องภาษีถูกต้องมาโดยตลอดนั้นควรได้รับสิทธิประโยชน์อะไรบ้างไหม เพื่อให้เขาได้รับแรงจูงใจที่จะทำถูกต้องต่อไป โดยที่ไม่ต้องตั้งคำถามกับตัวเองว่า ถ้าเป็นแบบนี้… แล้วเราจะทำถูกต้องไปเพื่ออะไร? จริงไหมครับ
แถมต่อให้อีกนิดส์ ธุรกิจที่ทำถูกต้องนั้นได้อะไร?
เนื่องจากวันที่ 14 มีนาคมที่ผ่านมา พรี่หนอมได้ไปทำหน้าที่เป็นพิธีกรงานเสวนา “มาตรการส่งเสริมให้ผู้ประกอบการจัดทำบัญชีให้สอดคล้องกับสภาพที่แท้จริงของกิจการ” มาครับ ซึ่งก็ถือเป็นงานเปิดตัวกฎหมายฉบับนี้โดยมีการลงนามข้อตกลงร่วมกัน (MOU) ของ 5 หน่วยงานครับ ได้แก่ ธนาคารแห่งประเทศไทย กรมพัฒนาธุรกิจการค้า สภาวิชาชีพบัญชีในพระบรมราชูปถัมภ์ คณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) และ กรมสรรพากรมาครับ (อ่านเพิ่มเติมได้ที่บทความ โอกาสครั้งสุดท้ายในการจ่ายภาษี กับนโยบายบัญชีชุดเดียวปี 2562) ซึ่งมีประเด็นหนึ่งสำคัญมาฝากสำหรับผู้ประกอบการครับ นั่นคือ ต่อจากนี้กรมสรรพากรจะให้ความสำคัญกับระบบการตรวจสอบต่างๆ จะแยกชัดระหว่างคนที่เสียภาษีถูกต้องกับคนที่เสียภาษีไม่ถูกต้อง มีการจัดเกณฑ์ที่ชัดเจนในการแบ่งแยกผู้เสียภาษี รวมถึงมีมาตรการในเชิงปราบปรามการทำผิดด้านภาษีมากขึ้น โดยที่ไม่เลือกปฎิบัติ ซึ่งตรงนี้ก็เป็นเหตุผลสำหรับคำถามที่ผมเคยตั้งคำถามไว้ว่า แล้วคนที่ทำถูกต้องนั้นจะได้อะไร? ซึ่งคำตอบก็คือ ได้รับการจัดกลุ่มและปฎิบัติที่ดีกว่าคนที่ทำไม่ถูกต้องนั่นเองครับ (ซึ่งคงต้องติดตามกันต่อไปสำหรับเรื่องนี้ ว่าจะมีทิศทางอย่างไรบ้าง)
ในการทำงานวันนั้น สิ่งหนึ่งที่ผมสังเกตเห็นว่ากรมสรรพากรและหน่วยงานราชการเริ่มเปลี่ยนแปลงไป คือ เรื่องของเทคโนโลยีต่างๆ ที่เข้ามาอำนวยความสะดวกในการทำงานของธุรกิจมากขึ้น ตรงนี้ก็เป็นอีกส่วนที่จะนำพาให้ธุรกิจเข้าระบบ รวมถึงมีมาตรการต่างๆที่กวดขันและเข้มข้นมากขึ้นครับ ตรงนี้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่เจ้าของธุรกิจต้องนำมาใส่ใจและตัดสินใจว่าจะเลือกเส้นทางไหน ระหว่างเส้นทางที่ถูกต้อง หรือ เส้นทางที่ถูกใจ
หรือไม่งั้นก็รอให้สรรพากรเลือกให้ก็ได้นะครับ…