fbpx

[ บทความพิเศษ ] ดาราไทยกับการเสียภาษี


ช่วงสองสามวันที่ผ่านมา ผมได้อ่านข่าวเรื่องปัญหาของการเสียภาษีและหักภาษี ณ ที่จ่ายของดาราไทยท่านหนึ่งกับทางผู้จัดงาน เมื่ออ่านจบแล้วเลยเกิดความรู้สึกว่าคงต้องเขียนบทความออกมาสักหน่อยเพื่อไม่ให้หลายๆคนเกิดความเข้าใจผิดเกี่ยวกับเรื่องของการเสียภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ยังไงถ้าเกิดใครได้อ่านบทความนี้แล้วคิดว่ามีประโยชน์ก็ช่วยๆกันส่งต่อกันไปด้วยละกันนะคร้บ :)

เราลองมาสมมุติเหตุการณ์ตามข่าวกันสักหน่อยละกันครับ

มีดาราสาวสวยเซะซี่คนหนึ่ง สมมุติว่าชื่อ “น้องพอย” ละกัน น้องพอยได้รับว่าจ้างจากทางผู้จัดงานรายหนึ่งให้เข้าร่วมเดินแบบในงานอีเว้นต์ โดยตกลงราคาค่าจ้างกันไว้ที่ 150,000 บาท แต่เมื่อเดินแบบเสร็จเรียบร้อยแล้วทางผู้จัดงานกลับจ่ายเงินค่าจ้างให้น้องพอยเพียงแค่ 145,000 บาทซึ่งแปลว่าผู้จัดงานได้จ่ายเงินให้น้องพอยไม่ครบถ้วน !!!!

ภาพประกอบน้องพอยฮะ :)
(ขอบคุณภาพประกอบจากเพจ  “คิดว่าดีก็ทำต่อไป” ด้วยครับ)

หลังจากนั้นก็มีเรื่องราวดราม่าเข้มข้นกันอย่างต่อเนื่อง และมีการโพสข้อความต่างๆนาๆ เกี่ยวกับเรื่องของการจ่ายเงินที่ไม่ครบและการกล่าวหากันมากมายจนกลายเป็นมหากาพย์ แต่เนื่องจากทาง “บล็อกภาษีข้างถนน” ของเราไม่ถนัดเรื่องการพูดคุยประเด็นดาราและเรื่องราวในวงการบันเทิง ดังนั้นขอข้ามส่วนนี้ไปละกันนะคร้บ

ทีนี้กลับมาดูประเด็นเรื่องการจ่ายเงินที่ไม่ครบถ้วนกันก่อน ว่าจริงๆแล้วเงินที่ทางผู้จัดงานได้จ่ายให้น้องพอยไม่ครบนั้น เพราะว่าทางผู้จัดงานได้หัก “ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย” ซึ่งในส่วนนี้ผมคิดว่าทางน้องพอยและหลายๆคนเอง ก็คงยังไม่ทราบว่าเป็นการหักภาษีไว้ จึงเกิดความตกใจว่า เอ๊ะ!!! นี่มันจ่ายเงินไม่ครบนี่ คิดจะโกงกันหรือไง แบบนี้ต้องมีเฮ ….(แล้วก็เฮกันไปชุดใหญ่ TwT)

ดังนั้น ผมคิดว่าเป็นโอกาสอันดีที่จะขออนุญาตอธิบายและพูดคุยถึงความหมายของ “ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย” ว่ามันคืออะไร?

– ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย –

ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย คือ จำนวนเงินที่กฎหมายกำหนดให้ผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินจะต้องหักออกจากเงินได้ก่อนจ่ายให้แก่ผู้รับทุกคราว หรือเป็นจำนวนเงินภาษีที่ผู้จ่ายเงินออกภาษีแทนผู้มีเงินได้ตามหลักเกณฑ์วิธีการที่กฎหมายกำหนดและนำส่งแล้ว ซึ่งถือเป็นเงินได้พึงประเมินที่ผู้เสียภาษีได้รับ และเป็นเครดิตภาษีของผู้ถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายในการคำนวณภาษีที่ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีประจำปี

สรุปให้ฟังง่ายๆว่า ภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย คือ ภาษีที่ทางกฏหมายกำหนดให้หักไว้ล่วงหน้าจากเงินได้ที่ได้รับ และสามารถนำไปขอเครดิตเพื่อหักจากยอดภาษีที่ต้องจ่ายจริงในทุกๆปี โดยที่ทางผู้จ่ายเงินได้จะมีหลักฐานที่เรียกว่า “หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย” ให้ไว้เป็นหลักฐาน

หนังสือรับรองการหักภาษี ณ ที่จ่าย

– ตัวอย่างของการเครดิตภาษี –

ถ้าหากเรามีภาษีที่ต้องเสียทั้งหมดในปี จำนวน 15,000 บาท แต่เรามีภาษีหัก ณ ที่่จ่ายไว้แล้วจำนวน 10,000 บาท แปลว่าในปีนั้นเราจะต้องเสียภาษีเพิ่มเติมแค่เพียง 15,000 – 10,000 = 5,000 บาทเท่านั้นเอง

– ทำไมถึงจะต้องมีการหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้ด้วย –

การหักภาษี ณ ทีจ่ายนั้น มีวัตถุประสงค์หลักๆอยู่ 4 ข้อ ดังนี้

1. บรรเทาภาระภาษี เนื่องจาก ภาษีเป็นเรื่องยิ่งใหญ่สำหรับคนทุกคน ดังนั้นทางรัฐจึงต้องบรรเทาภาษีที่เราจะต้องจ่ายโดยการหักไว้ล่วงหน้า (ตอนที่เราได้รับเงิน) เพื่อไม่ให้เป็นปัญหาในการชำระเงินครั้งละมากๆ ตอนสิ้นปี เพราะตอนนั้นเราอาจจะไม่มีเงินพอที่จะชำระนั่นเอง ลองคิดดูง่ายๆว่า ถ้าเราโดนนายจ้างหักภาษี ณ ที่จ่ายไปเดือนละ 1,000 บาท ทุกๆเดือน กับ เราต้องจ่ายภาษีทั้งจำนวน 12,000 บาท ในตอนสิ้นปีเลยทีเดียว แบบไหนจะโหดต่อเกินในกระเป๋ามากกว่ากัน :)

2. ให้รัฐมีรายได้เข้าคลังอย่างสม่ำเสมอ ผมคิดว่าข้อนี้น่าจะเป็นวัตถุประสงค์สำคัญที่สุดของภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย เนื่องจากทางรัฐเองต้องการรายได้อย่าสม่ำเสมอมาเพื่อใช้ในการพัฒนาประเทศ (หรือเปล่า – -‘) ซึ่งการหักภาษี ณ ที่จ่ายก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งของการจัดเก็บภาษีของรัฐนั่นเองคร้าบ

3. สร้างความเป็นธรรมแก่ผู้มีเงินได้ บางคนบอกว่าเป็นธรรม บางคนก็อาจจะบ่นว่าไม่เป็นธรรม ดังนี้ ข้อนี้ผมขอไม่แสดงความเห็นละกันนะคร้าบ แหะๆๆๆๆ

4. ป้องกัน ปราบปราม การหลบเลี่ยงภาษี เนื่องจากการหักภาษี ณ ที่จ่ายจะทำให้ทางรัฐมีกลไกใช้ตรวจสอบข้อมูลของผู้ที่มีเงินได้จากการหัก ณ ที่จ่ายไว้ในระบบ และผู้จ้างส่วนใหญ่นั้นมักจะเป็นคนที่อยู่ในระบบการหัก ณ ที่จ่ายอยู่แล้ว ซึ่งจะช่วยนำส่งข้อมูลการหักภาษี ณ ที่จ่ายให้กับรัฐอีกทางหนึ่ง

 – การหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย โดยใช้คนอื่นเป็นผู้รับแทน –

เมื่อมีการป้องกัน ก็ต้องมีการหลบเลี่ยงเป็นของคู่กันใช่ไหมครับ ทีนี้เราก็จะมาดูกันว่าที่ทางผู้จัดงานได้แฉกลับว่า น้องพอยได้นำชื่อคนอื่นมาเป็นผู้รับเงินแทนนั้น ผิดหรือไม่ผิดอย่างไรบ้าง

ผมขอแยกออกเป็น 2 ประเด็น ระหว่าง การใช้ชื่อคนอื่นมาเป็นผู้รับเงินแทนนั้น “มีผลกระทบอะไรบ้าง” และ “สามารถทำได้หรือไม่” เราลองมาไล่ดูกันทีละประเด็นดีกว่าครับ

1. การใช้ชื่อคนอื่นมาเป็นผู้รับเงิน 

สำหรับกรณีนี้จะมีผลกระทบหลักๆ ก็คือ ช่วยในการกระจายฐานรายได้ของผู้ที่มีเงินได้ เพื่อให้จ่ายภาษีลดลง

ลองสมมุติว่า น้องพอยมีเงินได้สุทธิทั้งปี (หลังหักค่าใช้จ่ายต่างและค่าลดหย่อนต่างๆ) เป็นจำนวน 5,000,000 บาท เมื่อมาดูอัตราภาษีที่น้องพอยจะต้องเสียแล้ว พบว่า …

 ถ้าคิดจากตารางการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา แปลว่า น้องพอยจะต้องเสียภาษีในอัตราที่สูงสุด คือ 37% ซึ่งเป็นอัตราภาษีแบบขั้นบันได (ยิ่งมีรายได้มาก ยิ่งเสียภาษีมาก) แต่ถ้าเกิดน้องพอย สามารถกระจายรายได้ให้กับคนอื่น อีกสัก 4 คน เช่น นายหมู นายเห็ด นายเป็ด นายไก่ (พูดแล้วหิวข้าวจัง ^^) ได้เท่าๆกัน ก็แปลว่าทุกๆคนจะมีเงินได้สุทธิคนละ 1,000,000 บาท ทำให้จากที่ต้องเสียภาษีในอัตราภาษี 37% เหลือเพียงแค่อัตราสูงสุดแค่ 20% เท่านั้น

เราลองมาดูตารางคำนวณเปรียบเทียบกันเลยดีกว่าครับ จะเห็นได้ว่าถ้าเราสามารถกระจายรายได้ให้ผู้อื่นได้ ภาษีที่น้องพอยต้องชำระนั้น จะลดลงจาก 1,405,000 บาท เหลือเพียงแค่ 675,000 บาทเท่านั้น :)

2. การใช้ชื่อคนอื่นมาเป็นผู้รับเงินนั้น สามารถทำได้หรือไม่

คำตอบก็คือ สามารถ “ทำได้” (เพราะหลายๆคนก็ได้ทำไปแล้ว TwT ) แต่ถ้าคำถามถามเพิ่มเติมว่าผิดกฎหมายหรือไม่ คำตอบก็คือ “ผิดกฎหมาย” เพราะผู้ที่มีรายได้จริงๆนั้นคือ น้องพอย ไม่ใช่ นายหมู นายเห็ด นายเป็ด นายไก่ ใช่ไหมคร้บ ซึ่งการหลบเลี่ยงภาษี โดยเอาบัตรประชาชนคนอื่นมาหักภาษี ก็จะทำให้ทางสรรพากรไม่สามารถตรวจพบข้อมูลรายได้ของน้องพอยในฐานข้อมูลของกรมสรรพากรได้นั้นเองครับ

 – อัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่าย ทำไมถึงแตกต่างกัน –

(คลิกที่ภาพเพื่อดูรูปขนาดใหญ่)

โดยปกติแล้ว อัตราภาษีเงินได้หัก ณ ที่จ่ายของเงินได้แต่ละประเภทก็จะมีหลักเกณฑ์และวิธีที่แตกต่างกันไปหลายๆรูปแบบครับ ซึ่งจากข่าวจะมีข้อมูลเพิ่มเติมว่า อัตราภาษีเงินได้ หัก ณ ที่จ่ายจริงที่น้องพอยต้องถูกหักไว้ก็คือร้อยละ 5 ซึ่งเป็นไปตามคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป. 4/2528 ข้อ 9 (2) ดังนี้ครับ

ข้อ 9 ให้บุคคล บริษัท หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่น ห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลที่มิใช่นิติบุคคล ซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากรให้แก่ผู้รับซึ่งเป็น

“ (2) นักแสดงสาธารณะ
“(ก) กรณีมีภูมิลำเนาอยู่ในต่างประเทศ หักภาษี ณ ที่จ่ายโดยคำนวณหักไว้ตามอัตราที่กำหนดในบัญชีอัตราภาษีเงินได้สำหรับบุคคลธรรมดา เว้นแต่นักแสดงสาธารณะที่เป็น นักแสดงภาพยนตร์หรือโทรทัศน์ซึ่งมีภูมิลำเนาอยู่ในต่างประเทศ เฉพาะกรณีที่มีการดำเนินการถ่ายทำ ภาพยนตร์หรือโทรทัศน์ในประเทศไทยโดยบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลที่ตั้งขึ้นตามกฎหมายของต่างประเทศ และได้รับอนุญาตให้ถ่ายทำในประเทศไทยจากคณะอนุกรรมการพิจารณาคำขออนุญาตถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย ตามระเบียบคณะกรรมการส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย ว่าด้วยการขออนุญาตถ่ายทำภาพยนตร์ต่างประเทศในประเทศไทย พ.ศ. 2544 หักภาษี ณ ที่จ่ายโดยคำนวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 10.0”
(ข) กรณีนอกจาก (ก) หักภาษี ณ ที่จ่าย โดยคำนวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 5.0

โดยคำว่า “นักแสดงสาธารณะ” หมายความว่า นักแสดงละคร ภาพยนตร์ วิทยุและโทรทัศน์ นักร้อง นักดนตรี นักกีฬาอาชีพหรือนักแสดงเพื่อความบันเทิงใด ๆ”

โดยผลของการที่น้องพอยเป็นนักแสดงสาธารณะแต่ใช้ชื่อคนอื่นมารับเงินแทนนั้น ทำให้ทางผู้จัดงานไม่สามารถหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่ายในอัตราร้อยละ 5 ตามที่กฎหมายกำหนดไว้ได้ จึงต้องหักเป็นร้อยละ 3 ตามคำสั่งกรมสรรพากร ที่ ท.ป. 4/2528 ข้อ 8 (1) แทน

ข้อ 8 ให้บริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล หรือนิติบุคคลอื่นซึ่งเป็นผู้จ่ายเงินได้พึงประเมิน เฉพาะที่เป็นค่าจ้างทำของ ให้แก่ผู้รับซึ่งเป็น
(1) ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เฉพาะค่าจ้างทำของที่เข้าลักษณะเป็นเงินได้พึงประเมินตามมาตรา 40 (7) หรือ (8) แห่งประมวลรัษฎากร หักภาษี ณ ที่จ่าย โดยคำนวณหักไว้ในอัตราร้อยละ 3.0

อ้างอิงที่มาคำสั่งของกรมสรรพากรจากลิงค์นี้ครับ
http://www.rd.go.th/publish/3479.0.html

 – บทสรุป –

ถ้าหากเหตุการณ์ในข่าวนั้นเป็นเรื่องจริงแล้วล่ะก็ “น้องพอย” จะมีความผิดฐานเลี่ยงภาษีโดยใช้ชื่อผู้อื่นรับเงินแทน ซึ่งน้องพอยต้องนำรายได้ในส่วนนี้มาถือเป็นเงินได้เพื่อเสียภาษีสิ้นปีแหละครับ แต่ผมคิดว่าสรรพากรคงตรวจสอบเข้มกันเลยทีเดียว …

มีหลายๆคนถามว่าวิธีการดังกล่าวถือว่าเป็นเทคนิคการวางแผนภาษีได้หรือไม่ หรือใครๆก็ทำกัน ถือว่าเป็นเรื่องปกติในสังคมหรือเปล่า แล้วเราจะทำยังไงดี ผมคิดว่ากรณีนี้น่าจะเป็น “การเลี่ยงภาษี” ไม่ใช่การวางแผนภาษีที่ไม่ผิดกฎหมายนะครับ

ผมแนะนำให้ลองอ่านความหมายของคำว่า การหนีภาษี การเลี่ยงภาษี การวางแผนภาษี ประกอบดูเพิ่มเติม คิดว่าน่าจะทำให้หลายๆคนเข้าใจถึงความหมายของคำว่า “การวางแผนภาษี” ได้ดียิ่งขึ้นครับ

หนีภาษี VS เลี่ยงภาษี VS วางแผนภาษี
http://tax.bugnoms.com/tax/tax-evasion-planning-avoidance/

สุดท้ายนี้ ผมขอฝากคำคมก่อนนอนเกี่ยวกับภาษีไว้ให้เพื่อนๆ สักหนึ่งคำละกันครับ

Like mothers, taxes are often misunderstood, but seldom forgotten.” — Lord Bramwell, 19th Century English jurist

เหมือนกับแม่ๆทั้งหลาย, ภาษีมักถูกเข้าใจผิดอยู่บ่อยๆ แต่ว่าก็ไม่เคยที่จะถูกลิม
ลอร์ด แบรมเวลส์

คืนนี้ราตรีสวัสดิ์กับ ทีวีพู… เฮ้ย TaxBugnoms คร้าบบบ
:D

error: เว็บไซต์ป้องกันการ copy