ทำไมต้องเสียภาษี (2)
หลังจากเขียนเกี่ยวกับเรื่อง ทำไมต้องเสียภาษี(1) ไปแล้ว ผู้เขียนคิดว่า ควรจะอธิบายให้ชัดเจนเกี่ยวกับแนวคิดทางกฎหมายและแนวคิดทางเศรฐศาสตร์ควบคู่กันไปด้วย จึงขออนุญาติขยายความเพิ่มเติม ดังนี้
แนวคิดทางกฎหมาย
ภาษีอากร คือ สิ่งที่รัฐบาลบังคับจัดเก็บจากราษฎรโดยใช้กลไกทางกฎหมาย ดังนั้นจึงเป็นสิ่งที่น่าปวดหัวสำหรับผู้ที่ไม่รู้เกี่ยวกับบัญชีและภาษีอากร เพราะโดยธรรมชาติแล้วภาษีเป็นเรื่องของทางบัญชีส่วนหนึ่ง แต่ถูกบังคับโดยกลไกของกฎหมาย การที่จะบอกว่าเสียภาษีหรือไม่เสียภาษี ต้องดูที่กฎหมายเป็นหลัก ไม่ใช่อ้างอิงจากบัญชี แต่นักตีความของสรรพากรไม่ใช่นักบัญชี จึงเกิดปัญหาเรื่องมุมมองที่ไม่ตรงกัน
ดังนั้น ธรรมชาติของภาษีเป็นสิ่งที่ถูกบังคับให้จัดเก็บ และวิธีการจัดเก็บจะต้องมีตัวกฎหมาย ซึ่งหลักการที่ควรนำมาพิจารณา คือ “เราจะเสียภาษี ก็ต่อเมื่อกฎหมายมีปรากฏว่าเรามีหน้าที่ต้องเสียภาษี” มากกว่าแนวคิดที่คนส่วนใหญ่ในประเทศชอบคิดเข้าข้างตัวเองว่า “เราไม่รู้ เราจึงไม่เสียภาษี” หรือ “กฎหมายไม่เป็นธรรมต่อเรา ดังนั้นเราไม่ควรเสียภาษี”
ซึ่งต้องทำความเข้าใจลึกซึ่งไปอีกว่า วัตถุประสงค์ในการจัดเก็บภาษี ก็คือ “รัฐบังคับจัดเก็บจากราษฎร และนำไปใช้เพื่อประโยชน์ส่วนรวม” ซึ่งก็คือ เราจะได้กลับมาในลักษณะที่ไม่รู้ว่าเราจะได้อะไรบ้าง และในแง่ของภาษี ใครใช้ประโยชน์ก็ได้ ไม่ว่าจะจ่ายภาษีมากหรือน้อย เพราะ “การจ่ายภาษีไม่มีสิ่งตอบแทนโดยตรงแก่ราษฎร”
แนวทางเศรษฐศาสตร์
ภาษีอากร คือ เงินได้หรือทรัพยากรที่เคลื่อนย้ายจากภาคเอกชนไปสู่ภาครัฐบาลภาษีอากร แต่ไม่รวมถึงการกู้ยืมหรือขายสินค้าหรือให้บริการในราคาทุนโดยรัฐบาล นั่นก็คือ การโยกย้ายจากภาคเอกชนไปยังภาครัฐบาล เพื่อใช้เป็นทุนในการบริหารและจัดการประเทศนั่นเอง
จากแนวคิดและบทความข้างต้น เราจะเห็นได้ว่า ภาษี เป็นตัวแปรสำคัญในการพัฒนาประเทศ ไม่ว่าจะเป็นแนวคิดแบบไหนก็ตาม
โดยส่วนตัว ผู้เขียนขอเพิ่มประเด็นที่ว่า สิ่งที่ประเทศควรกระทำ คือ การสร้าง จิตสำนึก และ ความเข้าใจ ในการเสียภาษีที่ถูกต้องแก่ประชาชนก่อน แล้วการเสียภาษีที่ถูกต้องก็จะเป็นเรื่องง่ายๆที่ใครๆก็ทำได้และมีความเต็มใจที่พึงกระทำ