มาวางแผนธุรกิจส่วนตัวกันนะเธอว์ ตอนที่ 3 | ทำธุรกิจแบบ “บุคคลธรรมดา”
กลับมาต่อกันในตอนที่ 3 ครับ วันนี้จะมาพูดคุยในเรื่องต่อเนื่องจากตอนที่แล้ว คือ “รูปแบบของธุรกิจ” ทีนี้เรามาเริ่มต้นทำความรู้จักกันไปทีละประเภทดีกว่าครับ มาเริ่มต้นจาก ฝั่งของ “บุคคลธรรมดา” กันก่อนครับ
– ธุรกิจเจ้าของคนเดียว –
ธุรกิจเจ้าของคนเดียว คือ ธุรกิจที่ดำเนินกิจการโดย “บุคคล” เพียงคนเดียว ลงทุนประกอบกิจการเพื่อแสวงหา “กำไร” และเป็นผู้รับผิดชอบต่อการดำเนินงานทั้งหมดแต่เพียง “ผู้เดียว”
“กิจการคนเดียว”
ถ้ากำไร “เจ้าของ” ได้รับผลประโยชน์ “คนเดียว” แต่ถ้า “ขาดทุน” ก็รับ “คนเดียว” เช่นกัน
ปกติแล้ว ธุรกิจที่ทำในรูปแบบของ “เจ้าของคนเดียว” นี้ มีอยู่เป็นจำนวนมาก (ผมคิดว่าน่าจะมีมากที่สุดในประเทศเลยแหละ) แถมยังได้รับความนิยมซะด้วยซิ เนื่องจากลักษณะของการดำเนินงานที่ไม่ซับซ้อน และมีความคล่องตัวสูงในการตัดสินใจดำเนินงาน ตัวอย่างของธุรกิจประเภทนี้ ก็คือ กิจการทั่วไปที่เราพบเห็นตามท้องตลาดครับ ไม่ว่าจะเป็น พ่อค้า-แม่ค้า รับเหมาก่อสร้าง และอื่นๆอีกมากมายครับ
แต่ข้อเสียของธุรกิจแบบนี้ก็คือ ขนาดที่ “เล็ก” กว่าธุรกิจประเภทอื่นๆ แถมภาพลักษณ์ที่ดูไม่ดีและไม่มั่นคงในสายตาของสถาบันการเงิน หรือผู้ที่ต้องการติดต่อร่วมธุรกิจครับ เช่น อาจจะขอกู้เงินจากธนาคารค่อนข้างลำบาก เป็นต้น
– ห้างหุ้นส่วน –
ก่อนอื่น ถ้าเราลองสังเกตดูภาพข้างต้น จะเห็นว่า ห้างหุ้นส่วน จะอยู่ทั้งสองฝั่ง คือ “บุคคลธรรมดา” และ “นิติบุคคล” สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยก็อาจจะงงๆว่า ห้างหุ้นส่วน แต่ละประเภทนั้น คืออะไรและมีความแตกต่างกันอย่างไร ผมขอเริ่มอธิบายจากความหมายของคำว่า “ห้างหุ้นส่วน” ก่อนดีกว่าครับ
ห้างหุ้นส่วน คือ กิจการที่มีบุคคลตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป มาลงทุนและดำเนินกิจการร่วมกัน โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อแบ่งปันผลกำไรที่ได้จากการดำเนินงาน
อย่างที่พวกเราทุกๆคนรู้ว่า วัตถุประสงค์หลักของการทำธุรกิจก็คือ “กำไร” เมื่อมีคน 2 คนมาร่วมแบ่งกำไรแล้ว “ห้างหุ้นส่วน” ก็น่าจะเป็นกิจการที่ต้องการเงินทุนและการจัดการเพิ่มขึ้นมากกว่ารูปแบบเจ้าของคนเดียว เพื่อให้ได้ “กำไร” มากขึ้นพอจะแบ่งปันกัน ใช่ไหมครับ?
ในปัจจุบัน ประเภทของห้างหุ้นส่วนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ ถูกแบ่งออกเป็น 2 ประเภท คือ ห้างหุ้นส่วนสามัญ และห้างหุ้นส่วนจำกัด แต่อย่าเพิ่งสงสัยว่า ทำไมต้องชื่อว่า สามัญ และทำไมต้องชื่อว่าจำกัด ผมว่าเราเริ่มต้นกันที่ความหมายของคำว่าห้างหุ้นส่วนสามัญก่อนดีกว่าครับ :)
ห้างหุ้นส่วนสามัญ คือ ห้างหุ้นส่วนที่ผู้เป็นหุ้นส่วนทุกคนต้อง”รับผิด”ใน”หนี้สิน”ทั้งหมดโดยไม่จำกัดจำนวน ซึ่งคำว่ารับผิด ก็คงมาจากคำว่า “รับผิดชอบ” นั่นเองครับ (ความเห็นส่วนตัว)
สมมุติว่า นายบัก กับนายเอม ร่วมกันตั้ง ห้างหุ้นส่วนสามัญบักเอม (สาบานได้ว่านี่คือชื่อห้างหุ้นส่วน – -‘) แต่นายเอม ดันใช้ชื่อห้างหุ้นส่วนบักเอมไปทำอะไรที่ไม่ดีบางอย่าง เช่น ไปกู้ยืมเงินจนเป็นหนี้จนถูกฟ้องล้มละลาย หุ้นส่วนของห้างคนที่ไม่เกี่ยวข้องอย่างนายบัก ก็ต้องมารับผิดร่วมกันด้วยครับ ในหนี้ที่ไม่จำกัด
แต่ถ้าเป็นห้างหุ้นส่วนจำกัด คำว่า “จำกัด” นั้น เท่ากับเราได้ “จำกัด” ความรับผิดชอบของเราไว้แล้วล่ะครับ แต่ผมขออนุญาตยกยอดในส่วนนี้ไปพูดในตอน “นิติบุคคล” แทนละกันนะครับ :)
สำหรับคนที่คิดจะร่วมธุรกิจกันในรูปแบบของ “ห้างหุ้นส่วน” ก็ระวังไว้หน่อยละกันครับ พยายามเลือกและดูคนที่ไว้ใจได้ด้วยละกันนะครับ ไม่งั้นคุณอาจจะได้รับผิดชอบแบบไม่จำกัดแทนก็ได้นะคร้าบบ
ทีนี้ ห้างหุ้นส่วนสามัญ จะแบ่งออกเป็นสองประเภทคือ “ห้างหุ้นส่วนสามัญ” กับ “ห้างหุ้นส่วนสามัญจดทะเบียน” โดยมีความแตกต่างก็คือห้างหุ้นส่วนสามัญเฉยๆ หรือเราอาจจะเรียกว่า ห้างหุ้นส่วนสามัญไม่จดทะเบียน จะมีสถานะเป็น “บุคคลธรรมดา” แต่ถ้านำห้างหุ้นส่วนนี้ไปจดทะเบียนเมื่อไรก็จะเปลี่ยนสถานะเป็น “นิติบุคคล” ทันที
เมื่อพูดถึงเรื่อง ห้างหุ้นส่วนสามัญแล้ว ก็มีอีกเรื่องหนึ่งที่ผมคิดว่าน่าจะพูดไปพร้อมๆกันได้เลย ก็คือเรื่องของ “คณะบุคคล” นั่นเองครับ
– คณะบุคคล –
คณะบุคคล คือ กิจการที่บุคคลธรรมดาตั้งแต่สองคนขึ้นไปตกลงเข้ากันเพื่อทำกิจการร่วมกันแต่ “ไม่มี” วัตถุประสงค์จะ “แบ่งปันกำไร” ที่ได้จากกิจการที่ทำนั้น
จากคำนิยามนี้ เราจะเห็นว่า “คณะบุคคล” มีสภาพเป็น “บุคคลธรรมดา” เหมือนกับ “ห้างหุ้นส่วนสามัญ” ทุกอย่างเพียงแต่ “ไม่ต้องการที่จะแบ่งปันกำไร” เท่านั้น…
แต่ช่วงต้นปีที่ผ่านมา กรมสรรพากรได้มีการแถลงข่าวว่า จะยกเลิกคณะบุคคล เพราะคนส่วนมากมักจะเลือกจดทะเบียนคณะบุคคล เพื่อขยายฐานภาษี ซึ่งทำให้เกิดความไม่เป็นธรรมในหน่วยภาษี (ขยายฐานของรายได้) ยกตัวอย่างง่ายๆ เช่น กรณีของ “ดารากับการเสียภาษี“ ที่ผมได้ยกตัวอย่างไปในตอนก่อนหน้า (สามารถคลิกที่ภาพเพื่ออ่านเนื้อหาเพิ่มเติมได้นะครับ)
ตัวอย่างของการขยายฐานรายได้
(เปลี่ยนจากน้องพอยและเพื่อนๆเป็น “คณะบุคคล” แทนนะครับ)
ขออนุญาตยกตัวอย่างของคณะบุคคลให้ฟังสักเรื่องละกันนะครับ
สมมุติว่าคุณเป็นเจ้าของกิจการร้านอาหารร้านหนึ่ง ทำธุรกิจในนามเจ้าของคนเดียวมาโดยตลอด ทีนี้วันดีคืนดี คุณต้องการจะขยายฐานภาษีโดยการจด”คณะบุคคล”ขึ้นมาเพื่อแบ่งรายได้ออกเป็น คณะบุคคลขายอาหาร 1 คณะ และ คณะบุคคลขายเครื่องดื่มอีก 1 คณะ เพื่อกระจายฐานเงินได้ให้เสียภาษีน้อยลง ทีนี้ จะมีเรื่องตลกอยู่ 2 เรื่อง ก็คือ
1. คุณเลือกจดคณะบุคคล ทั้งๆที่ ต้องการจะแบ่งปัน “กำไร” จากการขายอาหารและน้ำ และความเป็นจริงแล้วทั้งสองประเภทนี้คือกิจการประเภทเดียวกัน ที่ทำในที่เดียวกัน และไม่สามารถจะแยกออกจากกันได้ด้วยซ้ำ
2. ทางสรรพากรก็ดันรับจดเสียด้วย – -‘
เรื่องที่ว่านี้มีจริงๆครับ (ไม่ได้โม้ … ) และมีมากมากหลายรูปแบบ เรียกว่าสลับซับซ้อนกว่าที่คนธรรมดาอย่างเราๆจะเข้าใจด้วยครับ แต่ก็ถือว่ามันผ่านไปแล้วครับ เพราะตอนนี้กรมสรรพากรค่อนข้างจะเข้มงวดกับเรื่องของการจดทั้งห้างหุ้นส่วนสามัญและคณะบุคคลค่อนข้างสูง ถ้าลองพลิกดูแบบฟอร์มขอจดห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคลจะมีหมายเหตุเขียนไว้ชัดเจนเลยล่ะครับ (ตามรูปประกอบ)
ดังนั้นการทำธุรกิจในรูปแบบของบุคคลธรรมดาทั้งสามประเภท ได้แก่ เจ้าของคนเดียว ห้างหุ้นส่วนสามัญ และคณะบุคคล นั้นก็จะมีความแตกต่างกันไปในเรื่องของการจดทะเบียนและวัตถุประสงค์ในการแบ่งปันกำไรครับ ซึ่งตามความเข้าใจของผม ตีความเอาเองว่าทางรัฐ (สรรพากร) พยายามที่จะบีบให้บุคคลธรรมดาที่ทำธุรกิจเข้าสู่ระบบเป็น “นิติบุคคล” แทน เพื่อที่จะได้ดูแลได้ง่ายกว่า บุคคลธรรมดา ซึ่งเอื้อประโยชน์ในการหลบเลี่ยงภาษีมากกว่า
แต่ว่าสิ่งที่แท้จริงแล้ว มันจะเป็นแบบนั้นจริงๆหรือเปล่านะ อยากให้ทุกคนลองคิดดู และอย่าเพิ่งเชื่อผม (จนกว่าจะเห็นของ) นะครับ เพราะในตอนต่อไป ผมจะพาไปทำความรู้จักกับรูปแบบธุรกิจอีกรูปแบบหนึ่ง ที่เรียกว่า “นิติบุคคล” ว่ามันดีกว่าบุคคลธรรมดาอย่างไร และทำไมรัฐถึงอยากจะให้คนทำธุรกิจในรูปแบบของนิติบุคคลมากกว่านั้น คอยติดตามกันดูครับ
สำหรับตอนนี้ก็จบลงแล้ว ถ้าเกิดอ่านแล้วถูกใจ ผมฝากให้ช่วยกัน Like & Share บทความนี้ พร้อมกับรอติดตามตอนต่อไปในวันพรุ่งนี้นะคร้าบบ
:D