มาวางแผนธุรกิจส่วนตัวกันนะเธอว์ ตอนที่ 6 | ต้นทุนค่าเสียโอกาส
กลับมาพบกับบทความในตอนที่ 6 กันต่อครับ หลังจากบทความเรื่อง “มาวางแผนธุรกิจส่วนตัวกันนะเธอว์” ทั้ง 5 ตอนผ่านไป เราก็ได้รู้จักกับการจัดตั้งธุรกิจในรูปแบบต่างๆไปหมดแล้ว แต่สำหรับคนที่เพิ่งจะอ่านตอนที่ 5 ไปอาจจะมีความรู้สึกว่า การจัดตั้งธุรกิจในรูปแบบของ “นิติบุคคล” น่าจะดีกว่าการจัดตั้งในรูปแบบของ “บุคคลธรรมดา” ไม่ว่าจะเป็นความน่าเชื่อถือ ความสะดวกสบายต่างๆ และสิ่งที่สำคัญก็คือ จ่ายภาษีน้อยกว่าใช่ไหมครับ
แต่ว่าในตอนที่ 5 นั้นเอง ผมก็ได้ทิ้งท้ายไว้ตอนจบว่า ในโลกแห่งเป็นจริง การจัดตั้งธุรกิจในรูปแบบ “นิติบุคคล” จะดีถึงขนาดนั้นเลยหรือเปล่า ถ้าดีจริงแล้วทำไมเรายังเห็นบางคนยังทำธุรกิจในรูปแบบของ “บุคคลธรรมดา” อยู่เลยล่ะ เล่นเอาเพื่อนๆหลายคนสงสัยไปกันใหญ่ จนบางคนสงสัยมากๆๆๆๆ ถึงขั้นอีเมลล์มาถามผมด้วย – -‘ (แหะๆขอเอามาแซวหน่อยนะครับ ^^)
ตอนนี้ผมจะมาเฉลยให้ฟังว่า การจัดตั้งธุรกิจในรูปแบบ “นิติบุคคล” นั้นมี “ต้นทุน” สำคัญตัวหนึ่งที่เราต้องไม่ลืมนำมาพิจารณาด้วย คือ “ต้นทุนค่าเสียโอกาส” ซึ่งหมายความถึง โอกาสที่จะเราสูญเสียอะไรบางอย่างไปเมื่อเลือกทางใดทางหนึ่ง ทีนี้เจ้าต้นทุน “ค่าเสียโอกาส” ในการจัดตั้งธุรกิจแบบ “นิติบุคคล” คืออะไรและมีอะไรบ้าง ลองมาดูกันเลยครัาบบบ
1. ต้นทุนในการบริหารจัดการต่างๆ
ต้นทุนในการบริหารจัดการต่างๆ จะเริ่มตั้งแต่คุณจดทะเบียนนิติบุคคลแล้วครับ ซึ่งคนส่วนใหญ่จะเรียกค่าใช้จ่ายตัวนี้ว่า “ค่าใช้จ่ายในการจดทะเบียน” โดยทางผู้ดำเนินการจดทะเบียนนิติบุคคลให้กับเรา (ส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นคนทำบัญชีหรือทนายความ) จะเรียกเก็บค่าใช้จ่ายในการดำเนินการจากคุณครับ
โดยปกติแล้วค่าใช้จ่ายจดทะเบียนนิติบุคคลนั้นก็จะอยู่ที่ประมาณ พันปลายๆ ถึงหมื่นต้นๆ แต่ก็มีเจ้าของธุรกิจบางคนสามารถลดค่าใช้จ่ายส่วนนี้โดยการดำเนินการจดทะเบียนด้วยตัวเองครับ
ทีนี้หลังจากที่เราจัดตั้งนิติบุคคลเรียบร้อยแล้ว ต่อมาก็จะมีค่าใช้จ่ายในการดำเนินการอื่นๆเพิ่มเติมครับ ไม่ว่าจะเป็นค่าติดต่อหน่วยงานราชการต่างๆ เช่น สรรพากร ค่าจัดการด้านเอกสาร ค่าเดินทาง และอื่นๆอีกมากมายที่จะตามมาเรียกเก็บ ยังไงถ้าคิดจะทำธุรกิจในรูปแบบของ “นิติบุคคล” แล้วก็อย่าลืมเผื่อใจและเผื่อเงินสำรองสำหรับค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ไว้ด้วยละกันนะครับ รับรองได้เลยว่าจ่ายกันแทบจะไม่ทัน – -‘
2. ค่าใช้จ่ายในการทำบัญชี / ค่าใช้จ่ายในการสอบบัญชี
ค่าใช้จ่ายทั้งสองตัวนี้ เปรียบเหมือนกับวิญญาณที่คอยหลอกหลอนธุรกิจที่อยู่ในรูปแบบของ “นิติบุคคล” เสมอครับ เพราะการทำธุรกิจในรูปแบบนี้ ทางกฎหมายบังคับให้ต้องมีการจัดทำ “บัญชี” และนำส่ง “งบการเงิน” ในทุกๆรอบบัญชี (หรือทุกปี) แต่ในทางกลับกัน ธุรกิจที่อยู่ในรูปแบบของ “บุคคลธรรมดา” อย่างเจ้าของคนเดียวหรือห้างหุ้นส่วนสามัญนั้น จะไม่ต้องเสียเวลาสนใจกับเรื่องพวกนี้เลยครับ
การทำบัญชี และ งบการเงินคืออะไร
การทำบัญชี คือ การบันทึกและรวบรวมข้อมูลประจำวันของธุรกิจตามหลักการและวิธีการทางบัญชี เพื่อให้สามารถแสดงผลการดำเนินงานและฐานะการเงินของในระยะเวลาหนึ่ง ซึ่งปกติแล้วจะทำรายงานออกมาในรูปแบบของ “งบการเงิน” นั่นเอง
งบการเงิน คือ รายงานทางบัญชีที่แสดงฐานะการเงิน ผลการดำเนินงานของกิจการ การเปลี่ยนแปลงของเงินสดและส่วนของผู้ถือหุ้น ในแต่ละรอบบัญชี เพื่อให้ผู้ที่เกี่ยวข้องกับกิจการใช้ในการตัดสินใจด้านการเงิน โดยงบการเงินหลักๆจะประกอบด้วย งบดุล งบกำไรขาดทุน งบแสดงส่วนของผู้ถือหุ้น งบกระแสเงินสด และหมายเหตุประกอบงบการเงิน
สำหรับคนที่ไม่ได้จบบัญชีมา แค่อ่านนิยามของทั้งสองตัวนี้ ก็เริ่มรู้สึกมึนๆแล้วใช่ไหมครับ ว่ามันคืออะไรฟระ!! ดังนั้นคุณต้องเตรียมตัวไว้เลยครับว่า ในการทำธุรกิจของคุณนั้น จะต้องมีค่าใช้จ่ายในการ “ทำบัญชี ” ทุกๆเดือน ซึ่งจะต้องเสียเดือนละเท่าไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับทางสำนักงานบัญชี หรือ ผู้รับทำบัญชีอิสระ ที่คุณเลือกใช้บริการครับ มีทั้งราคาต่ำและสูงให้เลือกใช้บริการเยอะแยะไปหมดครับ
และในทุกๆปี หลังจากที่ต้องจ่าย “ค่าทำบัญชี” ที่ว่าไปแล้ว ยังมีค่าใช้จ่ายอีกตัวหนึ่งเรียกว่า “ค่าสอบบัญชี” ซึ่งเป็นค่าบริการที่ต้องจ่ายให้กับ “ผู้สอบบัญชี” เพื่อรับรองงบการเงินของคุณ ซึ่งโดยปกติแล้ว ผู้ทำบัญชีของคุณ มักจะเป็นผู้หาให้ โดยผู้สอบบัญชีมีหน้าที่รับรองว่า “งบการเงิน” ของบริษัท คุณนั้น ถูกต้องครับ
ถ้าจะพูดง่ายๆก็คือ นักบัญชีหรือคนทำบัญชี จะมีหน้าที่ลงรายการที่เกิดขึ้นของธุรกิจและจัดทำออกมาเป็นรายงานที่เรียกว่า “งบการเงิน” ให้เราทุกๆปี ส่วนผู้สอบบัญชี ก็คือ ผู้ที่มาตรวจสอบงบการเงินที่นักบัญชีทำให้ว่าถูกต้องหรือเปล่า มีอะไรที่หมกเม็ดไหม ทำนองนี้แหละครับ :)
โดยปกติแล้ว ค่าใช้จ่ายในการทำบัญชีและการสอบบัญชีนั้น จะมากหรือน้อยก็ขึ้นอยู่กับความยากง่ายและความซับซ้อนของธุรกิจของคุณครับ รวมถึงจำนวนรายการที่เกิดขึ้น ซึ่งต้นทุนในส่วนนี้น่าจะเริ่มต้นที่หลักหมื่น แต่ถ้าธุรกิจของคุณมีรายการเยอะแยะ ความซับซ้อนมาก ปรึกษานักบัญชีบ่อยแล้วล่ะก็ ค่าทำบัญชีและค่าสอบบัญชีก็จะต้องเพิ่มขึ้นตามไปด้วยนะครับ
ทีนี้ก็จะมีหลายๆคนที่เริ่มต้นทำธุรกิจชอบคิดว่า ค่าใช้จ่ายในส่วนนี้ขอให้ถูกที่สุด ประหยัดที่สุด เพราะว่าต้องสำรองเงินไปบริหารจัดการธุรกิจอีกมากมาย และจะจ่ายแพงกว่าไปทำไม มันก็เหมือนๆกันนั่นแหละ แต่คุณก็ต้องอย่าลืมนะครับว่า “ราคา” กับ “คุณภาพ” มันจะไปในทิศทางเดียวกัน.. แฮ่มม พูดถึงเรื่องนี้แล้วยาวครับ ไว้ถ้ามีโอกาสผมจะเขียนเป็นบทความแยกออกมาต่างหากดีกว่าครับ ^^
นอกจากเรื่องของการจัดทำบัญชีและงบการเงินแล้ว คุณก็ยังมีปัญหาต่อมา คือเรื่องของ “ภาษี” ซึ่งธุรกิจในรูปแบบนิติบุคคลส่วนใหญ่ต้องมีการ จดทะเบียน “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” และมีการนำส่ง “ภาษีหัก ณ ที่จ่าย” ที่ค่อนข้างวุ่นวายและซับซ้อนกว่าธุรกิจในรูปแบบบุคคลธรรมดา ซึ่งในเรื่องของภาษีที่ว่านี้ รอติดตามได้ในตอนที่ 7 นะครับ :)
โดยส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่าหลายๆคนที่กำลังจะเริ่มต้นทำธุรกิจ คงยังไม่ทราบว่าต้องมีค่าใช้จ่ายส่วนนี้่ และถ้าคุณเริ่มต้นธุรกิจโดยไม่รู้ว่ามีค่าใช้จ่ายเหล่านี้ ก็อาจจะทำให้หลายๆคนถอดใจไปก็ได้ เพราะค่าใช้จ่ายตรงนี้เป็นต้นทุนคงที่คุณต้องจ่ายในทุกๆเดือน แม้ว่าคุณจะยังไม่มีรายได้ก็ตามครับ ยังไงก็เผื่อใจเผื่อเงินไว้อีกสักหน่อยละกันนะครับ ^^
3. ต้นทุนชีวิตของคุณ
หลายๆคนเลือกที่จะธุรกิจส่วนตัวในรูปแบบเล็กๆที่ไม่ใหญ่มากอย่าง “บุคคลธรรมดา” ซึ่งอาจจะเป็นเพราะว่าคนเหล่านั้นไม่ได้ต้องการธุรกิจที่ใหญ่และเติบโตมากนัก เพราะอาจจะเกินกำลังในการบริหารจัดการได้ เท่าที่ผมเคยพูดคุยดูกับคนที่มีแนวคิดแบบนี้ มักจะได้รับคำตอบว่า “ไม่อยากจะเสียเวลา” เพราะการทำธุรกิจในรูปแบบ “นิติบุคคล” นั้น ต้องมีเรื่องของเอกสารและรายการต่างๆให้จัดการเยอะแยะไปหมด อีกทั้งยังวุ่นวาย เยอะแยะจิปาถะ ทั้งการมีปัญหากับหุ้นส่วน ผู้ถือหุ้น การจัดการอะไรต่างๆมากมาย ฯลฯ
โดยหลักแล้วๆต้นทุนแอบแฝงที่อยู่ในรูปค่าเสียโอกาสเหล่านี้ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่งที่คุณควรจะนำมาพิจารณานะครับ เพราะหลายๆคนมักจะลืมนึกถึงไป ผมเลยนำมาเขียนให้คุณทบทวนกันดูอีกสักครั้งว่า พร้อมหรือยังกับการทำธุรกิจในรูปแบบของ “นิติบุคคล” ครับ แต่ถ้าพร้อมแล้ว ก็เตรียมอ่านตอนต่อไปที่จะเป็นเรื่องหลักๆ ของการทำธุรกิจแล้วล่ะครับ ซึ่งก็คือเรื่องของ “ภาษี” นั่นเองครับ อย่าคิดว่าเรื่องนี้ไม่สำคัญ หรือว่าจ้างใครทำก็ได้นะครับ เพราะมีคนบางคนที่ผมรู้จักต้องเลิกกิจการไปซึ่งเป็นผลจากการที่ไม่รู้ภาษีนั่นเองครับ
สุดท้ายนี้ ถ้าหากคุณเป็นคนหนึ่งที่ตัดสินใจทำธุรกิจแล้วล่ะก็ ผมแนะนำให้คุณลองอ่านบทความตอนเก่าๆ อีกสักครั้งนะครับ แล้วตัดสินว่าจะทำธุรกิจในรูปแบบไหนดี และถ้าคำตอบของคุณยังคงเป็น “นิติบุคคล” อยู่ล่ะก็ ผมขอแนะนำให้คุณทำสมองให้โล่งๆไว้ และเตรียมตัวศึกษา เรื่อง “ภาษี” ในตอนต่อไปได้เลยคร้าบบบบบบบบบบ
:D