มาวางแผนธุรกิจส่วนตัวกันนะเธอว์ ตอนที่ 7 | อย่าหนีภาษีกันนะฮ้าฟฟ (1)
เนื่องจากมีเพื่อนๆสมาชิกแฟนเพจ “บล็อกภาษีข้างถนน” แจ้งมาทาง E-mail และ Message ของ Facebook Page ว่าอยากให้ช่วยอธิบายเรื่องของ “ภาษี” เพิ่มเติมจากที่เคยเขียนไว้ในตอนที่ 5 “เลือกทำธุรกิจ “รูปแบบไหน” ดีละเธอว์” เพื่อที่จะได้ทำความรู้จักกับเจ้า “ภาษี” มากยิ่งขึ้น ดีขึ้น (แต่ไม่ใกล้กันมากขึ้น) ดังนั้น ผมจึงขอ เท้าควาย เอ้ย!! เท้าความ (ติีงโปีะ!!) บทความจากตอนที่ 5 มาให้เพื่อนๆ อ่านกันอีกสักครั้ง พร้อมทั้งขยายความเพิ่มให้เข้าใจกันมากขึ้นด้วยครับ ^^
– ภาษี คืออะไร –
ภาษี คือ สิ่งที่รัฐบาลบังคับเรียกเก็บจากประชาชน เพื่อนำไปใช้เป็นประโยชน์ส่วนรวม โดยไม่ได้มีสิ่งตอบแทนโดยตรงแก่ผู้เสียภาษีอากร หรืออีกความหมายหนึ่งก็คือ เงินได้หรือทรัพยากร ที่เคลื่อนย้ายจากเอกชนไปสู่รัฐบาล แต่ไม่รวมถึงการกู้ยืมหรือขายสินค้า หรือให้บริการในราคาทุนโดยรัฐบาล
โดยกฎหมายที่เกี่ยวกับภาษีเงินได้ในประเทศไทยนั้น มีชื่อเรียกว่า “ประมวลรัษฎากร” ซึ่งเป็นกฎหมายที่ให้อำนาจแก่กรมสรรพากรในการจัดเก็บภาษีประเภทต่างๆ ได้แก่ ภาษีเงินได้ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และ อากรแสตมป์
ซึ่งภาษีทั้งหมดข้างต้นนั้น เราสามารถแบ่งออกเป็นประเภทหลักๆ ได้ 2 ประเภท คือ “ภาษีทางตรง” และ “ภาษีทางอ้อม” ซึ่งในตอนนี้เราจะมาว่ากันในส่วนของ ภาษีทางตรง กันก่อนครับ
ภาษีทางตรง คือ ภาษีที่เรียกเก็บ “โดยตรง” และไม่สามารถผลักภาระภาษีไปยังผู้อื่นได้ ซึ่งตัวอย่างของภาษีทางตรง คือ “ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา” และ “ภาษีเงินได้นิติบุคคล” ที่ผู้มีรายได้นั้น ต้องเป็นผู้เสียภาษีด้วยตัวเองและ (อาจจะ) เจ็บเองแบบจริงๆเช่นกัน (ถ้ายังไม่ได้จ่าย แล้วเจอสรรพากรเข้ามาตรวจ จ็าก!!!)
1. ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา คือ ภาษีที่จัดเก็บจากบุคคลทั่วไป หรือจากหน่วยภาษีที่มีลักษณะพิเศษ โดยปกติและจะจัดเก็บเป็นรายปี รายได้ที่เกิดขึ้นในปีใดๆ ผู้มีรายได้มีหน้าที่ต้องนำไปแสดงรายการตนเองตามแบบแสดงรายการภาษีที่กำหนดภายในเดือนมกราคมถึงมีนาคมของปีถัดไป และสำหรับบุคคลธรรมดาที่มีเงินได้บางกรณี กฎหมายยังมีข้อกำหนดให้ยื่นแบบฯ เสียภาษีตอนครึ่งปี สำหรับรายได้ที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกอีกด้วยครับ
การคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา
หลักเกณฑ์ของการคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดานี้ ประมวลรัษฎากรจะถือตามที่เงินเราได้รับจริง หรือเรียกว่า “เกณฑ์เงินสด” ซึ่งหมายความว่า “หากได้รับเงินได้ในปีภาษีไหน ให้ถือเป็นเงินได้ในปีภาษีนั้น”
ตัวอย่างเช่น นายป่าน (นายป่านอีกแล้วเรอะ!!) ได้บรรจุเข้าเป็นพนักงานของบริษัท ตั้งแต่เดือนธันวาคม 2554 แต่บริษัทจ่ายเงินเดือนให้นายป่านในเดือนมกราคม 2555 ซึ่งถ้าเรายึดตามประมวลรัษฎากรแล้ว นายป่านจะต้องถือเงินเดือนในเดือนธันวาคมเป็นเงินได้ในปี 2555 ไม่ใช่เงินได้ที่เกิดขึ้นปี 2554 (ดูจากวันที่ได้รับเงินเป็นหลัก) แม้ว่าจะเป็นเงินเดือนของปีที่แล้วก็ตาม
หลังจากที่ได้รับเงินได้มาแล้ว เราก็นำมาหักออกจาก “ค่าใช้จ่าย” และ “ค่าลดหย่อน” ตามที่กฎหมายกำหนดครับ แล้วจึงค่อยเอาไปคูณกับอัตราภาษีตามกฎหมายอีกครั้งหนึ่งครับ เพิ่อที่จะคำนวณภาษีที่เราต้องจ่าย (หรือจะได้ขอคืนกันนะ ลุ้นๆๆๆ)
2. ภาษีเงินได้นิติบุคคล
ภาษีเงินได้นิติบุคคล คือ ภาษีที่จัดเก็บจากเงินได้ของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ และหมายความรวมถึงนิติบุคคลอื่นๆ ที่ไม่ได้จดทะเบียนตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์แต่ถือว่าเป็น “นิติบุคคล” ตามประมวลรัษฎากร
ภาษีเงินได้นิติบุคคล จะคำนวณจากเงินได้ที่ใช้เป็นหลักฐานในการคำนวณภาษีคูณด้วยอัตราภาษีที่กำหนด ดังนั้น เงินได้ที่ต้องเสียภาษีเงินได้นิติบุคคลหรือฐานภาษีเงินได้นิติบุคคลนั้น โดยทั่วไป คือ “กำไรสุทธิ” แต่เพื่อความเป็นธรรมและอุดช่องว่างในการจัดเก็บภาษีเงินได้ จึงได้มี การบัญญัติจัดเก็บภาษีเงินได้ นิติบุคคล จากเงินได้หรือฐานภาษี ที่แตกต่างกันออกไป ถึง 4 ประเภทดังนี้ครับ
(1) กำไรสุทธิ
(2) ยอดรายได้ก่อนหักรายจ่าย
(3) เงินได้ที่จ่ายจากหรือในประเทศไทย
(4) การจำหน่ายเงินกำไรออกไปจากประเทศไทย
แต่ในกรณีของการวางแผนทำธุรกิจส่วนตัวนั้น เราจะสนใจในเรื่องของฐานภาษีที่คำนวณจาก “กำไรสุทธิ” เป็นหลักครับ เนื่องจากกิจการที่จัดตั้งขึ้นในประเทศไทยส่วนใหญ่นั้นจะใช้ฐานภาษีนี้เป็นตัวหลักๆในการคำนวณภาษี
ในขั้นตอนแรกของการวางแผนธุรกิจส่วนตัว เราจะสนใจในเรื่อง “ภาษีทางตรง” มากกว่า “ภาษีทางอ้อม” เนื่องจากเป็นภาษีที่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจของเรามากกว่านั่นเองครับ แหม่ ก็มันเป็นภาษีทางตรงที่เราต้องเสียกันชัดๆ หนักๆ เลยต้องเอาอัตราภาษีมาพิจารณาให้ละเอียดกันซะหน่อย และผมก็ได้ทำออกมาเป็นตารางเปรียบเทียบมาให้ดูกันด้วยครับ แฮ่ม ..
(คลิกที่ภาพเพื่อดูภาพขนาดใหญ่)
จากการเปรียบเทียบอัตราภาษีในรูปข้างต้น เราจะเห็นว่าการเสียภาษีของธุรกิจในรูปแบบของ “นิติบุคคล” น่าจะดีกว่า “บุคคลธรรมดา” เพราะถ้ามีรายได้สุทธิ (หรือกำไร) เท่ากันแล้วล่ะก็ นิติบุคคลจะเสียภาษีในจำนวนที่น้อยกว่าภาษีของบุคคลธรรมดา แต่ยังไงก็อย่าลืมพิจารณาถึง “ต้นทุนค่าเสียโอกาส” ในตอนที่ 6 ด้วยนะครับ ^^
สำหรับในเรื่องของ “ภาษีทางอ้อม” นั้น ขอยกยอดไปเขียนในตอนหน้าแทนแล้วกันนะครับ เนื่องจากกลัวว่าเพื่อนๆจะเบื่อบทความยาวๆ กันไปเสียก่อน และก็ขอฝากคำถามให้เพื่อนๆลองไปคิดเป็นการบ้านดูครับว่า ในชีวิตที่ผ่านมาเราเสียภาษี “ทางตรง” หรือ “ทางอ้อม” มามากกว่ากัน
สุดท้ายนี้ก็อย่าลืมติดตามตอนๆต่อไปของบทความชุดนี้ “มาวางแผนธุรกิจส่วนตัวกันนะเธอว์” และถ้าหากถูกใจบทความนี้ ก็อย่าลืมกดปุ่ม Like กับ Share ให้บ้างนะคร้าบบบบบ
:D