มาวางแผนธุรกิจส่วนตัวกันนะเธอว์ ตอนที่ 8 | อย่าหนีภาษีกันนะฮ้าฟฟ (2)
หลังจากที่เรารู้จักกับ “ภาษีทางตรง” ในตอนที่แล้ว (อย่าหนีภาษีกันนะฮ้าฟฟ ตอนที่ 1) วันนี้เราจะมาทำความรู้จักกับภาษีอีกประเภทที่มีความสำคัญไม่แพ้ภาษีทางตรง แต่ว่าเจ้าภาษีตัวนี้ จะมีความเกี่ยวข้องทั้งในส่วนของธุรกิจส่วนตัวและยังเกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวันของเราทุกๆคนด้วยครับ
โดยตอนที่แล้วผมได้เกริ่นไปนิดๆแล้วว่า ภาษีอีกประเภทหนึ่งนอกจากภาษีทางตรง เราจะเรียกว่า “ภาษีทางอ้อม” นั่นเองครับ ซึ่งเจ้าภาษีทางอ้อมที่่ว่านั้น หมายความถึงอะไร และมีประเภทไหนบ้าง เรามาลองดูความหมายกันเลยดีกว่าครับ ^^
– ภาษีทางอ้อม –
ภาษีทางอ้อม คือ ภาษีอากรที่เรียกเก็บจากผู้บริโภค หรือ ภาษีที่ผู้เสียภาษีสามารถผลักภาระให้กับผู้ซื้อหรือผู้บริโภคแทนผู้ขายได้ นั่นเองครับ แต่เอ๊ะ…. ว่าแต่ไอ้คำว่าผลักภาระภาษีล่ะเนี่ย มันเป็นยังไงกันแน่น้าาา
เอางี้ละกันครับ ผมขอยกตัวอย่างง่ายๆให้ฟังละกันคร้าบ …
.
.
ทุกๆคนคงเคยซื้อของที่ เซเว่น อีเลฟเฟ่น เอ้ย เซเว่น อีเลฟเว่น (7-11) กันบ้างใช่ไหมละครับ คงจะเคยเห็นพนักงานพูดว่า “รับขนมจีบซาลาเปาเพิ่มไหมคะ” เอ้ยยยยย “รับใบเสร็จด้วยค่ะ” (แต่ก็มักจะหลังจากที่พูดว่า “รับ … เพิ่มด้วยไหมครับ/ค่ะ ตลอดเลย T^T)
ไอ้เจ้าใบเสร็จที่เราได้มาเนี่ย ส่วนมากเราก็มักจะขยำทิ้งลงถังขยะกันหมด แต่ถ้าเราเอามาสังเกตดีๆแล้วจะเห็นว่าในใบเสร็จรับเงินนั้นมี “ภาษี” ซ่อนอยู่ (เห็นคำว่า VAT Include ไหมละคร้าบบ) …
จากรูปนั้น ถ้าไม่สังเกตเราจะไม่รู้เลยว่า ค่าชาเขียวจำนวน 32 บาทนี้ มี “ภาษีทางอ้อม” รวมอยู่ในนั้นด้วยและเจ้าภาษีตัวนี้ ก็คือ ภาษีที่เรา (ผู้บริโภค) ไม่สามารถจะหลีกเลี่ยงมันไปได้ แต่ทางผู้ผลิต หรือผู้จำหน่ายสินค้า สามารถผลักภาระมาให้เราได้นั่นเองครับ
.
.
.
แหม….พูดแล้วเศร้าผมรู้สึกเศร้าจุงเบยยยย เอ้ยยย จังเลยครับ :p
ไอ้เจ้าภาษีทางอ้อมตัวนี้ มีชื่อเรียกว่า “ภาษีมูลค่าเพิ่ม” หรือ “VAT” ที่ผมกำลังจะอธิบายต่อจากนี้นั่นเองครับ…
– ภาษีทางอ้อม มีอะไรบ้าง –
ในปัจจุบัน ประมวลรัษฎากรนั้น ได้กำหนดให้รัฐจัดเก็บภาษีทางอ้อมอยู่ 3 ประเภท คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีธุรกิจเฉพาะ และอากรแสตมป์ ซึ่งภาษีแต่ละตัวก็มีวัตถุประสงค์ในการจัดเก็บแตกต่างกันดังนี้ครับ
1. ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT : Value Added Tax)
ภาษีมูลค่าเพิ่ม คือ ภาษีที่เรียกเก็บจากการบริโภคของประชาชน เรียกได้ว่าเป็น ภาษีทางอ้อมประเภทหนึ่งที่เรียกเก็บจากบุคคลที่ซื้อสินค้าหรือรับบริการ โดยจัดเก็บเฉพาะจาก “มูลค่า” ส่วนที่ “เพิ่ม” ขึ้นในแต่ละขั้นตอนของการผลิต การจำหน่ายหรือการให้บริการ ทำให้ภาระภาษีนั้นจะตกไปยังผู้บริโภคซึ่งเป็นผู้ที่ต้องรับภาระในตอนสุดท้ายนั่นเองครับ (อย่างที่ผมพูดยกตัวอย่างเรื่องของใบเสร็จของ 7 -11 นั่นเอง)
โดยปัจจุบันนี้ ภาษีมูลค่าเพิ่มจะมีอัตราจัดเก็บอยู่ที่ 7% ครับ ซึ่งการคำนวณภาษีมูลค่าเพิ่มนั้น เราจะเรียกว่าวิธี “ภาษีขายหักภาษีซื้อ” คือ …
ภาษีมูลค่าเพิ่ม = ภาษีขาย (เรียกเก็บ) – ภาษีซื้อ (จ่ายออก)
และผู้ที่มีหน้าที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มก็คือ “ผู้ประกอบการ” ซึ่งมีทั้ง บุคคลธรรมดา และ นิติบุคคล ที่เข้าเกณฑ์สำคัญดังนี้
– ขายสินค้าหรือให้บริการในราชอาณาจักร
– มีรายได้เกินกว่า 1.8 ล้านบาทต่อปี
อย่างไรก็ตาม ยังมีผู้ประกอบการบางประเภทได้รับยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่มด้วยนะครับ แต่สำหรับคนทำธุรกิจส่วนตัวแบบเราๆ ไม่น่าจะรอดนะครับ แหะๆๆ เอาไว้ว่าถ้ามีโอกาสจะอธิบายในโอกาสต่อไปละกันครับ ^^
2. ภาษีธุรกิจเฉพาะ (SBT : Specific Business Tax)
ภาษีธุรกิจเฉพาะ คือ ภาษีที่จัดเก็บจากการประกอบกิจการเฉพาะอย่าง ซึ่งได้แก่กิจการดังต่อไปนี้ครับ
1. การธนาคาร ตามกฎหมายว่าด้วยการธนาคารพาณิชย์ หรือกฎหมายเฉพาะ
2. การประกอบธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ ธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์ ตามกฎหมายว่าด้วย การประกอบ ธุรกิจเงินทุน ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจเครดิตฟองซิเอร์
3. การรับประกันชีวิต ตามกฎหมายว่าด้วยการประกันชีวิต
4. การรับจำนำ ตามกฎหมายว่าด้วยโรงรับจำนำ
5. การประกอบกิจการโดยปกติเยี่ยงธนาคารพาณิชย์ เช่น การให้กู้ยืมเงินค้ำประกัน แลกเปลี่ยนเงินตรา ออก ซื้อ หรือขายตั๋วเงิน หรือรับส่งเงินไปต่างประเทศด้วยวิธีต่าง ๆ
6. การขายอสังหาริมทรัพย์เป็นทางค้าหรือหากำไร ไม่ว่าอสังหาริมทรัพย์นั้นจะได้มาโดยวิธีใดก็ตาม
ดังนั้น ผู้มีหน้าที่เสียภาษีธุรกิจเฉพาะ คือผู้ที่ประกอบการตามข้อ 1-6 ดังกล่าวข้างต้นนี้นั่นเองครับ ซึ่งมีอัตราการเสียภาษีที่แตกต่างกันไปในแต่ละประเภทครับ หากใครสนใจก็อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่ครับ
ฐานภาษีและอัตราภาษีธุรกิจเฉพาะ
http://www.rd.go.th/publish/681.0.html
มีข้อสังเกตนิดนึงก็คือ ถ้าหากกิจการใดเสียภาษีธุรกิจเฉพาะแล้ว จะไม่ต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม เช่นเดียวกันกับกิจการที่เสียภาษีมูลค่าเพิ่มแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีธุรกิจเฉพาะแล้วเหมือนกันครับ (การเรียกเก็บภาษีส่วนนี้จะไม่ซ้ำซ้อนกันครับ)
3. อากรแสตมป์ (Stamp Duty)
อากรแสตมป์ เป็นภาษีอีกประเภทหนึ่ง ซึ่งมีการจัดเก็บหลังจากการทำ “ตราสาร” ระหว่างกัน ตามที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตราอากรแสตมป์ ซึ่งลักษณะของอากรแสตมป์ จะคล้ายๆกันกับ แสตมป์ไปรษณีย์ แต่ต่างกันตรงที่จะไม่มีตราประทับ โดยจะใช้วิธีการขีดฆ่าแสดงถึงการใช้แสตมป์แล้วครับ
(ตัวอย่างของอากรแสตมป์)
ขอบคุณ “ที่มาของรูป” จากเวปไซด์ธนาคารแห่งประเทศไทยด้วยครับ
คำว่า “ตราสาร” หมายถึง เอกสารที่ต้องเสียอากรแสตมป์ ตามที่กำหนดไว้ในบัญชีอัตรา อากรแสตมป์ เช่น ตราสารเช่าที่กับโรงเรือน (สัญญาเช่า) เช่าซื้อทรัพย์สิน (สัญญาเช่าซื้อ) จ้างทำของ หรือแม้แต่กู้ยืมเงิน เป็นต้น (ปัจจุบันมีอยู่จำนวน 28 ประเภทตราสาร)
สำหรับอัตราของอากรแสตมป์ดูเพิ่มเติมได้ตามลิงค์ด้านล่างนี้ครับ
http://www.rd.go.th/publish/6162.0.html
ผู้มีหน้าที่เสียอากรแสตมป์ คือ บุคคลตามที่ระบุไว้ในช่องที่ 3 ของบัญชีอัตราอากรแสตมป์ เช่น ผู้ให้เช่าผู้โอน ผู้ให้กู้ ผู้รับประกันภัย เป็นต้นครับ
.
.
.
วันนี้เราก็ได้รู้จักกับภาษีทางอ้อมไปแล้ว ซึ่งเป็นภาษีที่เราทุกๆคนต้อง (แอบ) เสียเป็นประจำ โดยเฉพาะคนที่ทำธุรกิจทั่วๆไปแล้วละก็ มักจะเกี่ยวข้องกับเจ้าภาษีทางอ้อมที่เรียกว่า ภาษีมูลค่าเพิ่ม มากที่สุดเลยล่ะครับ ซึ่งรายได้หลักๆของรัฐก็มาจากการจัดเก็บภาษีส่วนนี้เช่นเดียวกันครับ
สำหรับตอนต่อไป เดี๋ยวเราจะมารู้จักกับการวางแผนภาษีที่ “ถูกต้อง” สำหรับผู้ที่เริ่มต้นทำธุรกิจและมารู้กันว่า ถ้าเริ่มต้นทำธุรกิจแต่ไม่มีการวางแผนภาษีแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง … (รับรู้ว่าสนุกแน่นอนคร้าบบบ ^^)
สุดท้ายนี้ ก็ขอฝากบล็อกภาษีข้างถนนและตอนต่อๆไปของบทความชุดนี้ด้วยนะครับ ถ้าหากถูกใจก็รบกวนเพื่อนๆช่วยกัน Like และ Share บทความชุดนี้ให้บ้างนะครับ เผื่อว่าเจ้าคนเขียนจะมีกำลังใจเขียนตอนต่อไปออกมาไวๆคร้าบบบบบ
:D