สัญญาเช่า ความแตกต่างระหว่างมุมมองทางบัญชีและภาษี (6)
แนวทางการปฏิบัติทางบัญชีสำหรับสัญญาเช่า
การปฏิบัติทางบัญชีนั้น ต้องยึดหลักตามมาตรฐานการบัญชี ฉบับที่ 29 (ปรับปรุง 2550) เรื่อง สัญญาเช่า โดยสาระสำคัญนั้น คงต้องพิจารณาก่อน ว่า สัญญาเช่าทั้ง 4 ประเภทที่อ้างถึง จัดประเภทเป็นสัญญาเช่าทางการเงิน หรือสัญญาเช่าดำเนินการ เนื่องจากหลักการบัญชีของทั้ง 2 วิธี จะแตกต่างกัน โดยจะมีเพียงแต่สัญญาเช่า (รวมถึงสัญญาเช่าระยะยาว) ที่ถือเป็นสัญญาเช่าดำเนินงานเพียงอย่างเดียว ส่วนสัญญาที่เหลือนั้นจะถือเป็นสัญญาเช่าทางการเงินทั้งสิ้น
แนวปฏิบัติทางบัญชีสำหรับสัญญาเช่าการเงิน
- ผู้เช่าต้องรับรู้สัญญาเช่าการเงินเป็นสินทรัพย์และหนี้สินในงบดุลของผู้เช่า ด้วยจำนวนเงินเท่ากับมูลค่ายุติธรรมของสินทรัพย์ที่เช่า หรือมูลค่าปัจจุบันของจำนวนเงินขั้นต่ำที่ต้องจ่าย แล้วแต่จำนวนใดจะต่ำกว่า
- จำนวนเงินงวดที่ต้องจ่ายชำระ ต้องนำมาแยกเป็นค่าใช้จ่ายทางการเงิน (ดอกเบี้ยจ่าย) และส่วนที่จะนำไปลดหนี้สินที่ยังไม่ได้ชำระ (เงินต้น) โดยค่าใช้จ่ายทางการเงินต้องปันส่วนให้กับงวดต่าง ๆ ตลอดอายุสัญญาเช่า เพื่อทำให้ดอกเบี้ยแต่ละงวดเป็นอัตราคงที่สำหรับยอดคงเหลือของหนี้สินที่เหลืออยู่แต่ละงวด
- เกณฑ์การคิดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ที่เช่า ขึ้นอยู่กับ ความแน่นอนที่ผู้เช่าจะเป็นเจ้าของสินทรัพย์เมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่าหรือไม่
3.1 หากมีความแน่นอนที่ผู้เช่าจะเป็นเจ้าของสินทรัพย์เมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่า ผู้เช่าต้องปันส่วนมูลค่าเสื่อมสภาพอย่างเป็นระบบตลอดอายุการใช้งานของสินทรัพย์ ซึ่งจะเท่ากับอายุการให้ประโยชน์ของสินทรัพย์
3.2 หากไม่มีความแน่นอนที่ผู้เช่าจะเป็นเจ้าของสินทรัพย์เมื่อสิ้นสุดสัญญาเช่า ผู้เช่าต้องคิดค่าเสื่อมราคาของสินทรัพย์ให้หมดภายในอายุสัญญาเช่าหรืออายุการให้ประโยชน์แล้วแต่อายุใดจะสั้นกว่า
แนวปฏิบัติทางบัญชีสำหรับสัญญาเช่าดำเนินงาน
ผู้เช่าต้องรับรู้จำนวนเงินที่จ่ายตามสัญญาเช่าดำเนินงานเป็นค่าใช้จ่ายตามวิธีเส้นตรง ตลอดอายุสัญญาเช่า นอกจากว่าจะมีเกณฑ์อื่นที่เป็นระบบซึ่งแสดงถึงประโยชน์ที่ผู้เช่าได้รับในช่วงเวลาเช่น สัญญาเช่าสินทรัพย์ กำหนดให้ จ่ายค่าเช่า ปีที่แรก จำนวน 200,000 บาท ปีที่สอง จำนวน400,000 บาท ปีที่ 3 จำนวน 600,000 บาท
โดยที่ลักษณะการให้ประโยชน์จากสินทรัพย์ที่เช่า ไม่มีความแตกต่างกันในแต่ละปี ดังนั้นการบันทึกค่าเช่าตามสัญญาเช่าในแต่ละปี ต้องรับรู้ค่าเช่าจำนวนปีละ 400,000 บาท เท่ากันทั้ง 3 ปี (คำนวณจาก (200,000 + 400,000 + 600,000) / 3 ปี) มิใช่รับรู้ในปีแรก จำนวน 200,000 บาท แต่เกณฑ์นี้จะเป็นไปตามหลักภาษี จะยึดหลักตามเงื่อนไขในสัญญาอย่างเคร่งครัด