ถ้าอยากเสียภาษีให้ถูกต้อง ควรเริ่มต้นจากอะไร? สรุปให้เข้าใจในบทความเดียว
เนื่องจากช่วงนี้หลายคนเริ่มมีคำถามว่า ถ้าอยากเสียภาษีให้ถูกีต้อง ควรเริ่มต้นจากอะไร? แล้วคนทำธุรกิจต้องเสียภาษีแบบไหน ธนาคารส่งข้อมูลให้สรรพากรกระทบเราหรือเปล่า ดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์เก็บภาษีไหม ตกลงมีอันไหนต้องรู้บ้าง และถ้าไม่เสียภาษีจะมีโทษอะไรแบบไหน?
อะไรกัน ทำไมมันถึงวุ่นวายแบบนี้ล่ะเนี่ย!!!
ทันทีที่มีความรู้สึกว่า “วุ่นวาย” ออกมา บางคนเลยเลือกที่จะมองข้ามปัญหาไป แล้วตัดสินใจ #หนีภาษีต่อไม่รอแล้วนะ หรือไม่ก็หาคนมาทำงานแทนเพื่อแก้ไขปัญหาภาษี โดยที่ไม่ได้มองถึงต้นตอของปัญหาว่าจริงๆแล้วสิ่งที่เราขาดคืออะไร?
โดยส่วนตัวแล้ว ผมมองว่าความรู้เรื่องภาษี เป็นความรู้ที่สามารถเรียนรู้และทำความเข้าใจเพียงครั้งเดียว แต่อยู่คู่กับธุรกิจเราตลอดไป ซึ่งถือว่าเป็นความรู้ที่คุ้มค่ากับการลงทุนอีกรูปแบบหนึ่งสำหรับเจ้าของธุรกิจ
ถ้าอยากศึกษาจริงๆ ควรเริ่มต้นยังไงดีล่ะ? เริ่มจากแบบไหนยังไงดี?
พรีหนอมพอมีช่องทางลัด หรือ แนวทางเพื่อประหยัดเวลาบ้างไหม?
เอาเป็นว่าถ้าอยากเริ่มต้นให้ถูกต้องจริงๆ สิ่งแรกคือต้องทำความเข้าใจธุรกิจเราให้ชัดก่อนว่า ทำธุรกิจอะไร มีต้นทุนแบบไหน รายได้ยังไง จ้างคนไหม มีอะไรเกี่ยวข้องบ้าง ซึ่งผมมองว่าเรื่องนี้พวกนี้เป็นความรู้ที่ต้องใช้เวลาศึกษาอย่างต่อเนื่อง ร่วมกับประสบการณ์ในการทำงานอย่างจริงจังประกอบกันไปเรื่อยๆครับ
อย่างไรก็ดี ผมมองว่าตรงนี้ยังไม่ใช่แก่นหลักของการศึกษาเรื่องภาษีครับ แต่มันคือวิธีการที่เกิดขึ้นหลังจากที่เราทำความเข้าใจถึงเหตุผลจริงๆของมันต่างหากว่าทำไมเราถึงควรเสียภาษีให้ถูกต้อง
แต่ก่อนหน้าที่จะพูดถึงเรื่องพวกนี้ ผมอยากให้เริ่มต้นจากการ ทำความเข้าใจในอำนาจของเจ้าหน้าที่กรมสรรพากร พร้อมกับคำอธิบายถึง กฎหมายใหม่ที่กำลังจะมาว่ามันมีผลกระทบและส่วนเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้อย่างไรบ้าง
เข้าใจอำนาจตรวจสอบของกรมสรรพากร (อีกที)
ทำไงดี สรรพากรขอดู Bank Statement ? เราต้องให้เขาไหม? ถ้าไม่ให้จะโดนอะไรบ้าง? เป็นหัวข้อที่ผมเคยเขียนลงเพจ TAXBugnoms ไว้ตั้งแต่ปี 2560 ซึ่งเป็นประเด็นที่หลายคนกลัวเวลาที่โดนสรรพากรเรียกตรวจสอบภาษี เพราะเกรงว่าจะมีปัญหาในการถูกประเมินรายได้มากขึ้นหรือเปล่า โดยที่ลืมถามตัวเองไปว่ามีเหตุผลอะไรที่เขาจะมาประเมินรายได้ของเราบ้าง?
ถ้าย้อนกล้บไปมองดูตั้งแต่ปี 2561 จนถึงปี 2562 ในปัจจุบัน หลายคนคงสังเกตได้ว่า มีเรื่องของกฎหมายใหม่เกี่ยวกับภาษีเพิ่มขึ้นมาหลายฉบับ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องธนาคารส่งบัญชีให้สรรพากร ดอกเบี้ยออมทรัพย์ทั้งหลายในช่วงนี้ ยอมทำให้รู้สึกกลัวขึ้นมากกว่าเก่า เพราะคิดว่าสรรพากรจะดูข้อมูลเราทุกอย่างได้เลยโดยที่ไม่ต้องขอ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ข้อมูลบัญชีธนาคารที่เป็นเรื่องส่วนตัวแบบนี้
เพื่อไม่ให้เสียเวลาและเข้าใจผิดไปมากกว่านี้
ผมขอพูดชัดๆ ตรงนี้เลยละกันนะครับ ว่าต่อให้ไม่มีกฎหมายใดๆออกมา
สรรพากรก็มีอำนาจ (เดิม) ตามกฎหมายให้สามารถดูข้อมูลเหล่านี้ได้อยู่แล้วครับ
ถ้าหากเขาสงสัยว่า เรากระทำความผิด
เนื่องจาก มาตรา 19 และ 23 แห่งประมวลรัษฏากร เขียนไว้ชัดเจนเลยว่า สรรพากรสามารถใช้อำนาจตรวจสอบได้ แต่จะขอดูเฉยๆเลยน่ะ ไม่ได้หรอกครับ ต้องมีแนวโน้มหรือข้อสันนิษฐานที่เชื่อได้ก่อนว่า เราอาจจะมีการทำความผิดตามกฎหมาย นั่นคือ การเสียภาษีไม่ถูกต้อง
ดังนั้น… ไม่ว่าคุณจะทำยังไงก็ตามเพื่อหลบเลี่ยงหรือหลีกหนีภาษี ขอให้คุณระลึกไว้เสมอว่า ถ้าหากเจ้าหน้าที่กรมสรรพากรมีข้อสงสัย เขาสามารถออกหมายเรียกหรือเชิญให้เรามาพบเพื่อขอตรวจสอบข้อมูลการเสียภาษีได้ เพราะกฎหมายให้อำนาจไว้เรียบร้อยตั้งแต่แรกครับ และถ้าหากถูกตรวจสอบแล้ว พบว่าคุณเสียภาษีไม่ถูกต้อง สิ่งที่จะตามมานอกจากคุณต้องจ่ายภาษีเพิ่มแล้ว ยังมีเรื่องของค่าปรับอาญา (กรณีไม่ได้ยื่นภาษี) เบี้ยปรับ (ค่าปรับที่คิดเพิ่มจากจานวนภาษีประมาณ 1-2 เท่าแล้วแต่กรณี) เงินเพิ่ม (ดอกเบี้ยที่คิดจากภาษีในอัตรา 1.5% ต่อเดือนหรือปีละ 18%) อีกต่างหาก
เริ่มจะพอมองเห็นหรือยังครับว่า
จริงๆเราต้องเริ่มแก้ที่ตรงไหน?
ธนาคารส่งข้อมูลให้สรรพากรแล้วเป็นยังไง
แล้วเราต้องกลัวกฎหมายฉบับนี้หรือเปล่า?
ทีนี้มาถึงตัวกฎหมายใหม่ที่ร้อนแรงกันบ้าง เรื่อง ธนาคารส่งข้อมูลให้สรรพากร หรือ สรรพากรตรวจสอบข้อมูลบัญชีธนาคาร ที่หลายคนกลัวและหาทุกวิถีทางเพื่อหลบหนีอย่างตั้งใจ (หรือไม่ตั้งใจก็ตาม) ผมขอถือโอกาสอธิบายหลักการสำคัญ 2 ข้อนี้อีกทีครับว่า
- การไม่ถูกส่งข้อมูลบัญชีให้สรรพากร ไม่ได้แปลว่า เราจะไม่ถูกสรรพากรตรวจสอบ เพราะสรรพากรมีอำนาจตรวจสอบตามกฎหมายอยู่แล้ว (ตามที่อธิบายไว้ในหัวข้ออำนาจของกรมสรรพากร)
- การถูกส่งข้อมูลบัญชีให้สรรพากร ไม่ได้แปลว่า เราจะถูกสรรพากรตรวจสอบและบังคับชำระภาษีทันที เพราะกรมสรรพากรต้องการข้อมูลนี้ไปวิเคราะห์ต่ออีกทีหนึ่ง ซึ่งใช้เป็นเพียงหนึ่งในปัจจัยที่ใช้วิเคราะห์ข้อมูลของผู้เสียภาษีเท่านั้น
เมื่ออ่านมาถึงตรงนี้ หลายอาจจะนึกในใจแล้วแย้งว่า ไม่จริง ไม่เชื่อหรอก สรรพากรอาจจะหลอกเราก็ได้ ซึ่งถ้าไม่เชื่อก็ไม่เป็นไรครับ แต่ผมอยากให้ตอบคำถามนี้ให้ได้ว่า “ถ้าสรรพากรจะประเมินรายได้เราจากข้อมูลที่ธนาคารส่งให้จริงๆ เราจะโต้แย้งได้ด้วยวิธีไหน?” ซึ่งคำตอบที่ถูกต้องของคำถามนี้ จะทำให้สรรพากรไม่สามารถประเมินรายได้เราด้วยวิธีนี้ได้อย่างเด็ดขาด!!
เอาเป็นว่าผมยังไม่เฉลยละกันนะครับว่าคำตอบที่ถูกต้องมันคืออะไร เรามาดูกันต่อดีกว่าครับว่า ตัวกฎหมายที่เราเรียกกันว่า ธนาคารส่งข้อมูลบัญชีให้สรรพากรนั้น จริงๆแล้วมันคือกฎหมายอะไรกันแน่ และเพื่อความสะดวกในการทำความเข้าใจ ผมขอไล่เรียงอธิบายเป็นข้อๆดังนี้ครับ
1) กฎหมายฉบับนี้ คือ พระราชบัญญัติ แก้ไขเพิ่มเติมประมวลรัษฎากร (ฉบับที่ 48) โดยเริ่มบังคับใช้กฎหมายตั้งแต่วันที่ 21 มีนาคม 2562 เป็นต้นไป
2) กฎหมายฉบับนี้กำหนดให้ ธนาคาร สถาบันการเงิน และผู้ให้บริการอิเล็กทรอนิกส์ E-wallet แต่ละแห่ง สรุปข้อมูลลูกค้าของตัวเองทั้งปี และส่งข้อมูลที่เข้าเงื่อนไขตามกฎหมายให้กับกรมสรรพากร ภายในวันที่ 31 มีนาคมทุกๆปี โดยส่งข้อมูลครั้งแรกในวันที่ 31 มีนาคม 2563
3) โดยมีเงื่อนไขในการส่งข้อมูลเมื่อเข้าหลักเกณฑ์ต่อไปนี้
กรณีแรก ยอดเงินเข้าบัญชี “ตั้งแต่” 3,000 ครั้งขึ้นไป ไม่สนใจจำนวนเงิน
กรณีที่สอง ยอดเงินเข้าบัญชี “ตั้งแต่” 400 ครั้งขึ้นไป และยอดรวม 2 ล้านบาทขึ้นไป
โดยคำว่า ยอดเงินเข้าบัญชี ถ้าตีความตามกฎหมายที่ใช้คำว่า “ฝากหรือรับโอนเงิน” จะหมายความว่ารวมรายการเข้าทั้งหมด ซึ่งหมายถึง
- ยอดเงิน/ยอดฝากที่เข้าบัญชีทุกประเภท ถูกนับหมด
- โอนเงินเข้าบัญชีตัวเอง ต่างธนาคารหรือธนาคารเดียวกันก็นับ
- ฝากเงินเข้าบัญชีผ่านเคาน์เตอร์ เครื่องฝากเงินสด ก็นับ
- โอนเข้าบัญชีแบบ Auto Transfer / Online / Ibanking ก็นับ
- ฝากเงินเปิดบัญชีครั้งแรก ก็ยังนับด้วย
4) ส่วนข้อมูลที่ส่งให้นั้นเป็นข้อมูลสรุป ซึ่งประกอบด้วยรายการต่อไปนี้ครับ
- บัตรประชาชน/เลขประจำตัวผู้เสียภาษี
- ชื่อ-นามสกุล หรือ ชื่อนิติบุคคล
- เลขที่บัญชีเงินฝากที่เกี่ยวข้อง
- จำนวนครั้ง
- จำนวนเงินรวมทั้งหมด
โดยหลักการของกฎหมายทั้งหมดมีเพียงเท่านี้ครับ แต่อย่างไรก็ดียังมีประเด็นที่หลายคนสงสัยอยู่ เช่น ฝากชื่อร่วมกันหลายบัญชีใครจะโดนส่ง หรือ แนวทางปฎิบัติกฎหมายว่าจะมีผลย้อนหลังไหม ซึ่งทางกรมสรรพากรจะมีการแถลงรายละเอียดทั้งหมดเร็วๆนี้ครับ ใครสนใจผมฝากกดติดตามเพจ TAXBugnoms ไว้นะครับ ถ้ามีอะไรคืบหน้าผมจะแจ้งให้ทราบทันทีครับ
เพื่อความเข้าใจที่ดีขึ้น ผมเลยทำตัวอย่างออกมาให้ดูครับว่า รายการเข้าบัญชีแบบไหนจะถูกส่งข้อมูล หรือไม่ถูกส่งข้อมูลให้กับกรมสรรพากร แนะนำลองอ่านเงื่อนไขเพิ่มเติมเพื่อทำความเข้าใจ และเช็คเงื่อนไขในโพสด้านล่างนี้ เพื่อยืนยันว่าเราเข้าใจตรงกันจริงๆอีกทีหนึ่งครับ
อ้อ.. สำหรับกรณี 400 ครั้งและ 2 ล้านบาทที่ว่ามาตามกฎหมายนั้น ผมขอเน้นอีกทีนะครับว่าการส่งข้อมูลให้สรรพากรในแต่ละปี จะต้องเป็นไปตามเงื่อนไขทั้งสองข้อร่วมกัน นั่นคือ จำนวนครั้งที่เงินเข้าถึง 400 ครั้ง และจำนวนเงินเข้าทั้งหมดรวมกันตั้งแต่ 2 ล้านบาทขึ้นไป ซึ่งถ้าหากมีเพียงเงื่อนไขใดเงื่อนไขหนึ่งก็จะไม่ถูกส่งนั่นเองครับ
สำหรับคนที่อยากจะลองนับรายการของตัวเองดู ผมมีเคล็ดลับสั้นๆมาให้ลองเช็คกันครับ
1) เช็คตัวเองก่อนว่าเรามีบัญชีที่ฝากกับธนาคาร สถาบันการ E-Wallet มากแค่ไหน
2) แยกแต่ละแห่งออกมา ไม่เอามาปนรวมกัน
3) นับรวมทุกบัญชีที่เป็นชื่อเรา
4) ยอดที่นับ คือ ยอดเงินเข้าบัญชีทุกรายการ
5) หลังจากนั้นทำสรุปว่ามีรายการเข้าทั้งหมดกี่ครั้งแล้วเช็คต่อว่า
รายการเข้าทั้งหมดถึง 400 ครั้งไหม? ถ้าไม่ถึง = ไม่ส่ง #รอด
ถ้าถึง/เกิน 400 ครั้ง ดูว่ายอดเงินถึง 2 ล้านไหม? ถ้าไม่ถึง = ไม่ส่ง #ยังรอดอยู่
เช็คครั้งสุดท้าย รายการเข้าถึง 3,000 ครั้งไหม? ถ้าไม่ถึง = ไม่ส่ง #รอดแน่นอน
พรี่หนอมครับ กฎหมายออกมาแบบนี้
ผมควรจะหนียังไงดี? ให้มีปัญหาน้อยที่สุด
มีคนถามผมแบบนี้จริงๆครับ แต่สิ่งที่ผมอยากถามกลับไป คือ แล้วคิดว่าจะรอดตลอดไหม? ในเมื่อยุคนี้เป็นยุคที่กรมสรรพากรและหน่วยงานภาครัฐต่างๆ ใส่ใจเรื่องเทคโนโลยีมากขึ้น เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจะไม่มีมาตรการต่างๆตามมาให้เราต้องคอยหนีซ้ำแล้วซ้ำเล่า
เอาจริงๆนะครับ…
สิ่งสำคัญที่เราควรใส่ใจนั้นไม่ใช่การหลบเลี่ยงภาษีครับ
แต่เป็นการทำให้ถูกต้องเพื่อความปลอดภัยและความภูมิใจในตัวเอง
เพราะเราไม่รู้เลยว่า นอกจากกฎหมายฉบับนี้ จะมีอะไรตามมาอีกบ้าง?
ถ้าไม่เชื่อลองดูตัวอย่างที่เพิ่งออกมาสดๆร้อนๆก็ได้ครับ.. อย่างกฎหมายล่าสุด คือ ประกาศอธิบดีกรมสรรพากร ฉบับที่ 344 ที่มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 4 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา มีเนื้อหาสำคัญดังนี้ครับ
- โดยปกติแล้ว ถ้าบุคคลธรรมดาได้รับดอกเบี้ยทุกบัญชีออมทรัพย์ ทุกธนาคารรวมกันไม่เกิน 20,000 บาทต่อปี จะได้รับสิทธิยกเว้นภาษี โดยทางธนาคารไม่ต้องหักภาษี ณ ที่จ่ายไว้
- แต่กฎหมายฉบับนี้กำหนดให้ ธนาคารส่งข้อมูลดอกเบี้ยของลูกค้าให้กับกรมสรรพากร ปีละ 4 ครั้งตามระยะเวลาที่กำหนด ซึ่งถ้าหากตรวจสอบแล้วพบว่า บุคคลไหนได้รับดอกเบี้ยเกิน 20,000 บาทต่อปี สรรพากรจะแจ้งให้ธนาคารทุกธนาคารดำเนินการหักภาษีเงินได้ ณ ที่จ่าย15% ทันที
- นอกจากนั้นยังกำหนดเพิ่มเติมด้วยว่า บุคคลธรรมดาต้องยินยอมให้ธนาคารส่งข้อมูล ถ้าไม่ยินยอมก็จะถูกหักภาษี 15% ทันทีโดยไม่สนใจว่าจะมีดอกเบี้ยถึง 20,000 บาทหรือไม่ (ตอนนี้อยู่ในระหว่างตกลงวิธีการแสดงความยินยอมอยู่ว่า แบบไหนถึงเรียกว่ายินยอม)
- สรุป คือ สรรพากรจะรู้ว่า บุคคลใดมียอดดอกเบี้ยเยอะ จนเข้าเกณฑ์ที่ต้องถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย หรือพูดง่ายๆ คือ ยอดเงินฝากน่าจะประมาณหลัก 4-5 ล้านบาทขึ้นไป หรือทำให้กรมสรรพากรสามารถเช็คต่อได้ด้วยว่า บุคคลไหนที่ได้รับดอกเบี้ยเยอะ แต่ไม่ส่งข้อมูล และไม่มีการยื่นภาษี = กลุ่มที่น่าสงสัยนั่นเอง
ไม่ใช่แค่กฎหมายที่ออกมาเพียงอย่างเดียว
แต่แนวทางตรวจสอบของกรมสรรพากรก็เปลี่ยนไปด้วย
ยังไม่จบเพียงเท่านี้ครับ!! ผมยังมีเนื้อหาบางส่วนเกี่ยวกับเรื่องนี้ ที่ได้ยินจากท่านอธิบดีกรมสรรพากรในงานเปิดตัวระบบลงทะเบียนแจ้งใช้สิทธิฯ สำหรับ SMEs และงานเสวนา บัญชีเดียว ดีจริงหรือ เมื่อวันที่ 1 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา โดยท่านอธิบดีย้ำชัดเจนเลยว่า “ยิ่งใช้เงินสด ยิ่งมีโอกาสถูกตรวจสอบภาษี”
โดยคนที่ชอบพูดว่า “ไปใช้เงินสดดีกว่า” กรมสรรพากรจะถือว่ากลุ่มนี้เป็น “กลุ่มเสี่ยง” ที่พยายามหลบเลี่ยงภาษี และยิ่งมีโอกาสถูกเรียกตรวจสอบภาษีมากขึ้นครับ
คำว่า “กลุ่มเสี่ยง” หมายถึงกลุ่มที่กรมสรรพากรให้ความสนใจในการตรวจสอบ เนื่องจากมีปัจจัยความเสี่ยงที่จะชำระภาษีไม่ครบถ้วน ซึ่งแตกต่างจาก “กลุ่มดี” ที่สรรพากรมองว่าเป็นคนดีเสียภาษีถูกต้องตามระบบ โปร่งใส มีการใช้ระบบอิเล็กทรอนิคส์ต่างๆ ควรได้รับการสนับสนุนและอำนวยความสะดวกมากกว่า
นอกจากนั้น แม้แต่ความพยายามในการแยกบัญชี หลายธนาคาร จะได้ไม่ต้องส่งสรรพากร อันนี้กรมสรรพากรมองว่าผู้ประกอบการจะเหนื่อยและวุ่นวายเอง หนำซ้ำการพยายามกระจายบัญชี ยิ่งมีโอกาสถูกตรวจสอบมากขึ้น เพราะถือว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงเช่นเดียวกันเพราะถือว่ามีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงการเสี่ยงภาษี
กรมสรรพากรยังเน้นว่าสิ่งสำคัญคือ “การทำข้อมูลให้ถูกต้อง” ตัวของธุรกิจเองได้ตรวจสอบความถูกต้องเอง เหมือนกับเรามีปรอทวัดไข้ คอยตรวจสอบข้อมูลของตัวเอง ตรวจดูว่าเราป่วยเป็นอะไร รู้สถานะการเงินที่แท้จรืง เพื่อประโยชน์ของตัวเอง
ดังนั้น การส่งข้อมูลครบถ้วน ทำตามระบบปกติ ถือว่าเป็นเรื่องดี เพราะช่วยให้กับกรมสรรพากรจัดกลุ่มผู้ประกอบการได้ง่ายขึ้น และยิ่งสรรพากรมีข้อมูลเยอะแค่ไหน ยิ่งสามารถจัดกลุ่มได้ดีขึ้น และทำให้กลุ่มที่มีข้อมูลเยอะ สอดคล้องกับข้อเท็จจริง ถูกจัดในกลุ่มดี มีโอกาสโดนตรวจสอบน้อยลง
ถ้าเอาเรื่องทั้งหมดมาเชื่อมโยงกัน ทั้งเรื่องของกฎหมาย นโยบายต่างๆ ผมเชื่อว่าหลายคนจะเริ่มเห็นภาพว่า การทำทุกอย่างให้ถูกต้องนั้นจะมีผลดีกับเรามากกว่า
นี่คือคำตอบของทุกคำถามตั้งแต่เริ่มบทความมาครับ
เพราะปัญหาทั้งหมดเกิดจากการที่เราไม่รู้ข้อมูลของตัวเอง
ถ้าหากเราไม่รู้ข้อมูลของตัวเอง
เราย่อมไม่รู้ว่าเราทำถูกต้องหรือเปล่าถ้าหากเราไม่รู้ข้อมูลของตัวเอง
เราย่อมไม่สามารถโต้แย้งกับเจ้าหน้าที่สรรพากรได้ถ้าหากเราไม่รู้ว่าเราทำถูกต้องหรือเปล่า
เราก็มีโอกาสโดนภาษีย้อนหลังและเสียเงินมากขึ้น
จากการประเมินของเจ้าหน้าที่สรรพากรนั่นเองครับและที่สำคัญที่สุด ถ้าหากเราไม่ใส่ใจเรื่องพวกนี้
ธุรกิจเราจะมีปัญหามากแค่ไหน?
จากประสบการณ์ทำงานของผม สังเกตว่าวิธีการจัดการ หลบเลี่ยงภาษีต่างๆ ที่ใครหลายคนมองว่าเป็นวิธีที่ดี หรือมีคนแนะนำกันมา ส่วนใหญ่แล้วมันเป็นวิธีที่ใช้ได้ผลชั่วคราวเท่านั้นครับ เมื่อมีกฎหมายหรือนโยบายอะไรออกมาก็ต้องปรับเปลี่ยนกันสักทีหนึ่ง หรือไม่ก็ต้องคอยหาวิธีใหม่ไม่รู้จักจบจักสิ้น และมันจะดีกว่าไหม ถ้าเราเริ่มกลับมามองที่ตัวเองว่าควรจะจัดการอย่างไร เพื่อให้ธุรกิจหรือชีวิตเราอยู่รอดในระยะยาว
สำหรับคนอ่านมาถึงตรงนี้แล้ว ยังรู้สึกว่าไม่อยากเสียภาษี หาวิธีหลีกเลียงภาษีอยู่ ด้วยเหตุผลที่รู้สึกไม่ดีกับภาครัฐในการใช้เงินภาษี ผมเข้าใจสิ่งที่รู้สึกนะครับ แต่ผมยังมองว่า มันก็เป็นคนละเรื่องกันอยู่ดีครับ เพราะหน้าที่พลเมืองเป็นเรื่องหนึ่ง หน้าที่การตรวจสอบการใช้เงินของภาครัฐก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ระบบการตรวจสอบที่ดี คือ สิ่งที่จำเป็นในการจัดการป้องกันการใช้ภาษีที่ไม่ถูกต้อง แต่จริยธรรมที่ดีในการทำหน้าตามกฎหมาย คือ สิ่งที่จำเป็นสำหรับการทำหน้าที่พลเมืองของประเทศ
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ตัวผมก็ไม่มีหน้าที่ตัดสินว่าใครคิดผิดหรือถูกกับเรื่องนี้ มันขึ้นอยู่กับแนวคิดของแต่ละคนเช่นกันครับ ทั้งหมดนี่เป็นเพียงความเห็นของผมเท่านั้นครับ ถ้าหากใครอ่านแล้วไม่สบายใจก็ขออภัยด้วยนะครับ
เอาเป็นว่าเราได้ข้อสรุปตรงกันว่า ข้อมูลคือเรื่องที่สำคัญ แต่ทีนี้เราจะทำยังไงให้ข้อมูลมันพร้อมใช้งานมากที่สุดดีล่ะ? ลองมาดูแนวทางจัดการภาษีธุรกิจกันครับผม
แนวทางจัดการภาษีของธุรกิจ 101
สำหรับแนวทางการจัดการภาษีธุรกิจ ผมสรุปออกมาเป็นประเด็นหลักๆ สามข้อตามนี้ครับ
1) แยกบัญชีธนาคาร สิ่งสำคัญอันดับแรก คือ แยกบัญชีธนาคารให้ชัดเจนก่อน ว่าบัญชีแต่ละบัญชีมีหน้าที่อะไร แบบไหน โดยเฉพาะเรื่องส่วนตัวไม่ควรนำมาปนกับธุรกิจครับ และไม่จำเป็นต้องนับหรอกครับว่ารายการจะถึงเกณฑ์ต้องส่งข้อมูลให้สรรพากรไหม แต่ควรรู้มากกว่าว่ารายการแต่ละรายการคืออะไร เพื่อที่จะได้ตอบคำถามได้ว่านี่คือ รายรับ รายจ่าย หรือ รายการอื่น
2) ทำบัญชีรายรับรายจ่าย เพื่อให้รู้ข้อมูลกำไรธุรกิจ ถ้าเตรียมบัญชีเรียบร้อยแล้ว ให้ทำบัญชีรายรับรายจ่ายเพื่อหาข้อมูลกำไรของธุรกิจ ยอดขาย ค่าใช้จ่าย เพื่อให้เราเห็นข้อมูลของธุรกิจมากที่สุดก่อนครับ อาจจะเลือกใช้ซอฟท์แวร์ หรือการคำนวณของนักบัญชีประกอบกันไปครับ
3) ศึกษาหาความรู้เรื่องภาษีอย่างจริงจัง หลังจากนั้นเราค่อยมาศึกษาเรื่องภาษีครับว่า ธุรกิจเราต้องเสียภาษีอะไรบ้าง คำนวณแบบไหน และเราต้องมีหลักฐานอะไรบ้าง ถ้าหากเราเชื่อมโยงตั้งแต่ข้อ 1 – 2 ไว้ดี จะช่วยให้เราศึกษาเรื่องพวกนี้ได้ง่ายขึ้นครับ
ป.ล. นอกจากความรู้ตามรูปด้านบนแล้ว สำหรับคนที่สนใจความรู้เรื่องภาษีธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ เร็วๆนี้ ผมกำลังจะทำคลิปสอนฟรีในช่อง Youtube TAXBugnoms เพิ่มเติมครับ ใครสนใจก็กดติดตามไว้ได้ครับผม
สุดท้ายนี้ ผมฝากเอาไว้ครับว่า 3 ข้อข้างต้นที่พูดมานี้ เป็นเรื่องที่พูดง่าย แต่ทำยากครับ แต่คนที่ตั้งใจทำมันโดยไม่สนว่ามันจะยากลำบากแค่ไหนนั่นแหละครับ คือที่คนจะประสบความสำเร็จในเรื่องนี้และไม่มีปัญหาภาษีอีกต่อไป
ว่าแต่… คุณคิดว่าตัวเองเป็นคนแบบไหนล่ะครับ?